posttoday

คิดถึง อาจารย์ ใจ อึ๊งภากรณ์

09 สิงหาคม 2564

โดย...ไชยันต์ ไชยพร             

********************

หลายคนอาจจะไม่ชอบอาจารย์ใจ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่สำหรับผม อาจารย์ใจเป็นคนที่น่านับถือ โดยเฉพาะในเรื่องอุดมการณ์และความเด็ดเดี่ยวในการต่อสู้ทางการเมืองด้วยตัวของเขาเอง

ผมเจออาจารย์ใจครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2534 หลังเกิดรัฐประหาร รสช. ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ แต่คนส่วนใหญ่สมัยนั้นจะจำพลเอกสุจินดา คราประยูรได้มากกว่า

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารครั้งนั้น ขณะนั้นผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่อังกฤษ และได้พยายามรณรงค์ให้คนไทยในอังกฤษมาร่วมประท้วงรัฐประหาร แต่ส่วนใหญ่เป็นพลังเงียบ หรือไม่ก็เห็นว่า การทำรัฐประหารครั้งนั้นสมควรแล้ว เพราะมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณจนได้ฉายาว่า “บุฟเฟ่คาบิเนต”

ในการรณรงค์ ผมได้นัดหมายให้คนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารครั้งนั้นมาพบกันที่ร้านกาแฟ-เบเกอรี่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าแฮรอดส์ โดยได้ทำใบปลิวแจกไปตามร้านอาหารไทยและที่ต่างๆที่คิดว่ามีคนไทยและนักเรียนไทย

เมื่อถึงวันนัดหมาย น่าจะตอนบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง มีนักเรียนไทยที่ร่วมกับผมเพียงคนเดียว เขาได้ทุนมาเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่อิมพีเรียล คอลเลจ ทั้งๆที่ตอนนั้น อิมพีเรียลมีนักเรียนไทยที่ได้รับทุนศึกษาต่อเป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาคอลเลจต่างๆในสังกัดของมหาวิทยาลัยลอนดอน

ส่วนที่ไม่ใช่นักเรียนไทย มีสามคน คนหนึ่งเป็นสุภาพสตรี ชื่อคุณแอ๋ว เธอเป็นแคชเชียร์ที่ร้านซุปเปอร์มาเกตชื่อเวทโรส อีกคนหนึ่งเป็นสุภาพบุรุษชื่อ คุณประวิน (ผมยังจำนามสกุลเขาได้ดี) คุณประวินทำงานล้างจานในร้านอาหารไทย

คุณแอ๋วเป็นสุภาพสตรีร่างเล็ก ผิวขาว หน้าตาดี ตอนแรกที่เธอเดินเข้ามาในร้าน เธอคงไม่แน่ใจว่า ควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี เพียงแต่ตอนที่เธอเดินเข้ามานั้น ผมก็เดาว่า เธอน่าจะเป็นคนไทย และผมก็ได้ถามเธอว่า เธอมาเพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารหรือเปล่า เมื่อเธอพยักหน้า ผมก็เชิญเธอนั่งทานกาแฟ และต่อมาคุณประวินก็เดินเข้ามา

คุณแอ๋วเธอให้เหตุผลว่า ตั้งแต่เธอมาอยู่ในประเทศอังกฤษ เธอได้เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบสภาพความเป็นอยู่ในอังกฤษกับเมืองไทย เธอเห็นว่า บ้านเราไม่ก้าวหน้าไปไหน ก็เพราะการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กัน โดยเฉพาะการทำรัฐประหารเพื่อแย่งชิงอำนาจ เธอเห็นว่ารัฐบาลพลเอกชาติชายมาจากการเลือกตั้ง และแม้ว่าจะมีการโกงกิน แต่ก็ไม่สมควรใช้การรัฐประหารเป็นทางออก  ยิ่งกว่านั้น เธอไม่ชอบทหาร เพราะพวกนี้ชอบวางก้ามใหญ่โต ไม่เห็นหัวประชาชน

คุณประวินก็เช่นกัน เขาบอกว่า แม้เขาจะเป็นคนล้างจาน แต่เวลาเขาไปไหนมาไหน เขาก็เดินไปอย่างมั่นใจและทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ต้องคอยกลัวหรือกังวลอำนาจอิทธิพลคนใหญ่คนโต และเขาเห็นว่า พวกทหารที่ทำรัฐประหารเป็นพวกบ้าอำนาจ

ผมกับนักเรียนวิศวะ (ขออภัยจริงๆที่จำชื่อไม่ได้) ก็นั่งคุยกับคุณแอ๋วและคุณประวินและหารือว่า จะทำอย่างไรที่จะขยายวงให้มีคนไทยมากขึ้นกว่านี้ มีใครรู้จักใคร และพอจะไปสื่อสารให้พวกเขาออกมาร่วมกันเราได้ 

สักพักหนึ่ง ก็มีสุภาพบุรุษหน้าตาเป็นลูกครึ่งเอเชียผสมฝรั่ง เดินเข้ามา และลงชื่อ-ที่อยู่ในสมุดที่ผมเตรียมไว้บนโต๊ะทางเข้าร้าน เพราะต้องการเก็บไว้ติดต่อนัดหมายต่อไป  ผมก็เดินไปต้อนรับเขา และถามชื่อเสียงเรียงนามเขา ก็ทราบว่าชื่อ  “ใจ” นามสกุล “อึ๊งภากรณ์”

ผมก็งงๆ และถามเขาว่าเป็นอะไรกับอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ?  เขาตอบว่าเป็นลูก ผมก็ยิ่งงงๆเข้าไปอีก เพราะด้วยความรู้อันจำกัด ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ ปีเตอร์ (ชื่อไทยคือ ไมตรี) และจอน  อึ๊งภากรณ์ และเข้าใจไปเองว่า อาจารย์ป๋วยมีลูกชายสองคน แต่ก็มาทราบตอนนี้ว่าใจเป็นลูกคนสุดท้องของอาจารย์ป๋วย

ใจ เป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่ไม่เห็นกับรัฐประหาร ซึ่งผมก็เข้าใจได้ว่าทำไม ตอนนั้น ใจ เป็นนักวิจัยทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ยังไม่ได้เป็นอาจารย์ เขาจบปริญญาตรีและโทมาทางด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม (ถ้าจำไม่ผิด) และยังไม่ได้เรียนทางด้านสังคมศาสตร์

หลังจากนั้น พวกเราห้าคนก็ประสานติดต่อกันเรื่อยมา และพยายามที่จะหาทางสื่อสารไปยังคนไทยอื่นๆ  ผมก็เริ่มสนิทกับคุณแอ๋วและคุณประวินมากขึ้นจนกล่าวได้ว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะอยู่ลอนดอนด้วยกันหมด ส่วนใจนั้น ก็ติดต่อเป็นระยะๆ

คุณประวินแกจะชอบมาร่วมกิจกรรมของสามัคคีสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยเฉพาะกิจกรรมการสนทนาอภิปรายที่ทางสมาคมจัดขึ้น  แม้ว่าคนที่มาร่วมกิจกรรม จะเป็นนักเรียนเสียส่วนใหญ่ แต่แกก็ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกอะไร  แต่นักเรียนบางคนหรือส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกแปลกแยกกับแก คือ นอกจากแกจะไม่ได้เป็นนักเรียน บุคลิภาพท่าทางของแกดูน่ากลัวสำหรับนักเรียน  เพราะแกจะไว้ผมยาวและหงอก หน้าเสี้ยม ฟันดำเพราะสูบบุหรี่จัด และใส่แจ็กแกตเก่าๆออกแนวลุยๆ แต่ใครได้คุยกับแกแล้ว จะพบว่า แกเป็นคนพูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพ ให้เกียรติ แต่ก็ไม่หงอด้วย และก็ไม่ได้เกรงกลัวคนรู้หนังสือ เวลานักเรียนพูดอะไรที่แกไม่รู้ แกก็จะบอกตรงๆว่าให้อธิบายให้แกฟัง

ส่วนคุณแอ๋วไม่ค่อยได้มาร่วมกิจกรรมของสามัคคีสมาคมฯเท่าไรนัก  แต่เมื่อถึงวันคริสตมาส แกชวนให้ผมไปทานอาหารและฉลองคริสตมาสกับเธอและพี่สุภาพสตรีที่เป็นเจ้าของห้องที่เธอเช่าอาศัยอยู่ ทำให้สนิทสนมกันมากขึ้น คุณแอ๋วเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่แกร่ง อยู่คนเดียวได้ และใช้เวลาว่างจากงาน พักผ่อน หาความรู้ลำพังตัวคนเดียวได้ ไม่ได้มีอาการเหงาเปล่าเปลี่ยวอะไร

เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่มีการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2535 และมีปัญหาที่หัวหน้าพรรคการเมืองที่คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง (แต่ไม่เกินครึ่ง) ขาดความชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะมีการปล่อยข่าวมาว่า เขาเป็นคนในบัญชีดำของสหรัฐอเมริกาในฐานะที่พัวพันกับการค้ายาเสพติด ดังนั้น พรรคที่ได้คะแนนรองๆลงมาจึงรวมตัวกันได้เสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล และไปเชิญพลเอกสุจินดา คราประยูรมาเป็นนายกรัฐมนตรี

จริงๆแล้ว หลังรัฐประหารสักพัก มีผู้สื่อข่าวไปถามพลเอกสุจินดาว่า จะเป็นนายกรัฐมนตรีเองไหม ซึ่งพลเอกสุจินดาให้สัมภาษณ์แข็งขันว่า จะไม่เป็น  แต่เมื่อได้รับเชิญจากพรรคการเมืองต่างๆ พลเอกสุจินดาก็ตอบรับ และได้เป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้เกิดกระแสผู้คนไม่พอใจและเริ่มออกมาประท้วงในข้อหาว่า “ตระบัดสัตย์”

สังเกตให้ดีนะครับว่า สาหตุที่คนไทยเริ่มไม่พอใจพลเอกสุจินดาไม่ใช่เรื่องการทำรัฐประหารและไม่เป็นประชาธิปไตย  แต่ไม่พอใจเพราะผิดคำพูด  คราวนี้นักเรียนไทยส่วนใหญ่ที่เฉยๆกับรัฐประหารมาเป็นเวลาปีกว่า ก็เริ่มเข้ามาร่วมแสดงความไม่พอใจ เหตุผลก็อย่างที่กล่าวไปหละครับ คือ ผิดคำพูด ไม่ได้พอใจเพราะทำลายประชาธิปไตย

การประท้วงรัฐบาลพลเอกสุจินดาในลอนดอนจึงเริ่มเกิดขึ้นและขยายวง มีนักเรียน คนไทยที่ประกอบอาชีพหลากหลายเข้าร่วม มีการนัดประชุมที่เวียนไปตามร้านอาหารไทยต่างๆ  คนเริ่มมากขึ้น

ในที่สุด เราก็นัดที่จะลงถนนเดินขบวนประท้วงขับไล่พลเอกสุจินดาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากการเลือกตั้ง

ด้วยความที่ผมเรียนหนังสือมานาน ไม่จบสักที เลยเป็นนักเรียนอาวุโส และเรียนทางรัฐศาสตร์ ก็เลยกลายเป็นผู้นำการชุมนุมประท้วงไปโดยปริยาย

ที่นัดกันไว้ก็คือ จะเดินขบวนวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันหยุด และจะเดินไปที่หน้าสถานทูตไทยประจำกรุงลอนดอนเพื่อยื่นหนังสือ   ตอนแรก ผมเข้าใจว่า ในอังกฤษ การชุมนุมหรือเดินขบวนตามท้องถนนเป็นสิทธิเสรีภาพที่ใครจะทำก็ได้  แต่ใจบอกผมว่า ทำได้ก็จริง แต่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะนำการชุมนุมหรือเดินขบวน จะต้องไปกรอกแบบฟอร์มของตำรวจและยื่นให้ทางเจ้าหน้าที่รับทราบว่า เราจะเดินขบวนเรื่องอะไร จากไหนไปถึงไหน และมีปริมาณคนเท่าไร และจะต้องกำหนดเวลาให้ชัดเจน

ผมไม่เคยมีประสบการณ์การนำการชุมนุม จึงรู้สึกว่าจะยุ่งยาก และไม่สามารถประมาณจำนวนคนได้แน่นอน ถ้าน้อยไปก็จะดูไม่มีพลัง มากไปก็คุมลำบาก ที่สำคัญคือ ผมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เพราะผมจะต้องเป็นคนกรอกแบบฟอร์มและลงนามในฐานะผู้แจ้งการชุมนุม

ใจ เลยแนะนำว่า เราสามารถนัดกันที่ไฮด์ปาร์คได้ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะใหญ่ที่วันอาทิตย์จะเปิดให้ใครๆไปใช้เสรีภาพในการพูดได้โดยไม่ต้องแจ้งทางการ เพียงแต่เอาเก้าอี้ไปตัวหนึ่งและยืนบนเก้าอี้และตะโกนส่งสารให้สิ่งที่เราต้องการสื่อออกไป

วันนั้น ผมก็ไปยืนบนเก้าอี้และแหกปากเล่าเรื่องการเมืองไทยและประณามพลเอกสุจินดา ตอนนั้นยอมรับตื่นเต้นประหม่ามาก เพราะคนเดินผ่านไปมา ไม่ได้สนใจอะไร และคนไทยที่มาร่วมก็มีน้อย อีกไม่นาน ใจก็เดินมาพร้อมกับแผ่นป้ายภาษาอังกฤษมีข้อความไม่เอารัฐบาลทหารที่เป็นเผด็จการอะไรทำนองนี้ และมายืนข้างทำหน้าที่เป็นล่ามแปลในสิ่งที่ผมกำลังตะโกนอยู่

แต่ไม่มีการใช้คำหยาบคายอะไรนะครับ ! แต่ตอนที่พวกนักเรียนไทยจำนวนหนึ่งไปยืนถือป้ายประท้วงหน้าสถานทูต (ถ้าไปยืนประท้วงหน้าสถานทูต บนทางเท้า ไม่ลงถนนไปเกะกะขวางทางจราจร ก็ทำได้โดยไม่ต้องแจ้งทางการ แต่จะต้องเว้นพื้นที่ให้คนเขาเดินไปมาได้)  ก็ใช้คำผรุสวาทด่าทอพลเอกสุจินดาอย่างหยาบคาย ไม่ต่างจากที่กลุ่มม็อบทุกวันนี้

ผมก็ได้หารือกับพวกเขาว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบคาย แต่รู้สึกว่า พวกเขาจะไม่ฟัง เมื่อคนมารวมตัวกัน ก็มักจะเกิดความฮึกเหิมเป็นธรรมดา กล้าทำในสิ่งที่เวลาอยู่คนเดียวไม่กล้าทำเท่าไรนัก ยกเว้นโกรธจริงๆ 

หลังจากมีการจับตัวแกนนำฝ่ายประท้วงไปคือ พลตรีจำลอง ศรีเมือง   การประท้วงก็ยิ่งบานปลาย คนไม่พอใจ ออกมากันมาก ทั้งในประเทศไทยเองและที่ลอนดอน ผมก็ไปถามว่า ทำไมถึงออกมา ทั้งที่ก่อนนี้ ไม่ออกมา  พวกเขาตอบว่า เขารับไม่ได้ ที่รัฐบาลส่งทหารมาจับตัวพลตรีจำลอง เพราะพลตรีจำลองเป็นคนดีมีศีลธรรม

พลตรีจำลอง ศรีเมืองได้ฉายาว่า “มหาจำลอง” เพราะเป็นคนเคร่งครัดในศีลมีวินัย ทานอาหารเพียงวันละมื้อ อาบน้ำโดยใช้น้ำเพียงห้าขัน ไม่ทานเนื้อสัตว์ ไม่นอนเตียง ฯ ได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วไปที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบนั้นได้  เมื่อมีการจับตัวมหาจำลอง ผู้คนจึงทนไม่ได้อีกต่อไป

ส่วนสาเหตุที่รัฐบาลพลเอกสุจินดาตัดสินใจจับตัวมหาจำลอง ก็เพราะเป็นไปได้ที่จะเชื่อในทฤษฎีการสลายม็อบโดยการเด็ดหัวขบวน และเชื่อว่า เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมขาดผู้นำแล้ว ก็จะไม่สามารถรวมตัวและมีพลังต่อไปได้  ซึ่งนักคิดทางการเมืองอย่างมาคิอาเวลลีก็เขียนไว้เช่นนี้ในหนังสือที่ชื่อว่า Discourses 

แต่ไม่รู้ว่า มาคิอาเวลลีคิดผิดหรือฝ่ายเสนาธิการของพลเอกสุจินดาไม่ได้อ่านมาคิอาเวลลีจนจบ เห็นความแค่บางประโยคหรือย่อหน้าก็นำมาใช้  (จริงๆ ผมคิดว่า ฝ่ายเสนาธิการของพลเอกสุจินดาคงไม่ได้อ่านงานของมาคิอาเวลลี แต่งานของมาคิอาเวลลีน่าจะมีอิทธิพลต่อเนื่องไปจนคนที่ให้คำแนะนำพลเอกสุจินดาเองก็ไม่น่าจะรู้ว่า ยุทธศาสตร์การเด็ดหัวขบวนนี้เริ่มมาจากใคร และคำกล่าวทั้งหมดของเขาในเรื่องนี้เป็นอย่างไร) เพราะพอจับพลตรีจำลองไป แทนที่ม็อบจะขาดพลัง ที่ไหนได้ มากันมืดฟ้ามัวดิน ที่อังกฤษก็ออกมายืนด่าหน้าสถานทูตกันมากขึ้นและต่อเนื่อง และเรียกร้องให้พลเอกสุจินดาลาออก และต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่พลเอกสุจินดายืนยันว่า การที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำผิดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพราะรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งก็ได้ ในที่สุด ทางรัฐบาลพลเอกสุจินดาก็ตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดภาพทหารทำร้ายประชาชนแพร่ภาพไปทั่วโลก แต่คนไทยในประเทศไม่เห็น  เพราะรัฐบาลเขาเซนเซอร์  ผมอยู่อังกฤษดูโทรทัศน์บีบีซี เห็นทหารบุกเข้าไปในโรงแรมรัตนโกสินทร์ ผู้ชุมนุมนอนราบกับพื้น และทหารกระทืบไปทั้งรองเท้าบู้ธ  ผมก็ได้เศร้าสลดใจ และนึกไม่ออกว่า จะทำอย่างไรถึงจะช่วยสถานการณ์ที่เมืองไทยได้

แต่วันรุ่งขึ้น ก็ทราบว่า ทุกอย่างได้จบลงอย่างน่าอัศจรรย์ โดยข่าวออกว่า พลเอกสุจินดาและพลตรีจำลองได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่เก้า และทรงมีพระราชดำรัสว่า

“คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญพลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่า อาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุด เป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญ ๒ ท่านมา”

“การเผชิญหน้าตอนแรก ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้ง ๒ ฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง ๑๐ กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่า การเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งออกมาอย่างไรก็ตาม เสียทั้งนั้นเพราะว่า ทำให้มีความเสียหาย ในทางชีวิต เลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการ และส่วนบุคคลเป็นมูลค่ามากมาย นอกจากนี้ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับพรรณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดี เป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าปัญหา ที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของเรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่ง เป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข”

“มีผู้ที่ส่งข้อแนะนำ ในการแก้ไขสถานการณ์มาหลายฉบับ หลายคนจำนวนเป็นร้อย แล้วก็ทั้งในเมืองไทย ทั้งต่างประเทศที่ส่งมา ที่เขาส่งมาการแก้ไข หรือข้อแนะนำว่า เราควรจะทำอะไรก็มี ก็มีต่างๆ นานา ตั้งแต่ตอนแรกบอกว่าแก้ไขวิธียุบสภา ซึ่งก็ได้หารือกับทางทุกฝ่ายที่เป็นสภา หมายความว่า พรรคการเมืองทั้งหมด ๑๑ พรรคนี้ คำตอบมีว่าไม่ควรยุบสภา มี ๑ รายที่บอกว่าควรยุบสภา ฉะนั้นการที่จะแก้ไข แบบที่เขาเสนอมานั้น ก็เป็นอันว่าตกไป นอกจากนั้นก็มีเป็นฎีกา และแนะนำวิธีต่างๆ กัน ซึ่งได้พยายามเสนอไปตามปกติ คือเวลามีฎีกาขึ้นมา ก็ส่งไปให้ทาง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตามแบบนั้น ตกลงมีแบบยุบสภา และมีอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นแบบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้ตามประสงค์ที่ต้องการ หมายความว่าประสงค์เดิม ที่เกิดเผชิญหน้ากัน”

คิดถึง อาจารย์ ใจ อึ๊งภากรณ์

“ความจริงวิธีนี้ถ้าจำได้ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ ก็ได้พูดต่อสมาคม ที่มาพบจำนวนหลายพันคน แล้วก็ดูเหมือนว่าพอฟังกัน ฟังกันโดยดี เพราะเหตุผลที่มีอยู่ในนั้น ดูจะแก้ปัญหาได้พอควร ตอนนี้ก็พอย้ำว่าทำไมพูดอย่างนั้น ว่าถ้าจะแก้ก่อนออกก็ได้ หรือออกก่อนแก้ก็ได้ อันนั้นทุกคนก็ทราบดีว่าเรื่องอะไร ก็เป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งครั้งนั้น การแก้รัฐธรรมนูญก็ได้ทำมาตลอด มากกว่าฉบับเดิมที่ตั้งเอาไว้ได้แก้ไข แล้วก็ก่อนที่ไปพูดที่ศาลาดุสิดาลัย ก็ได้พบพลเอกสุจินดา ก็ขออนุญาตเล่าให้ฟังว่า พลเอกสุจินดาแล้ว พลเอกสุจินดาก็เห็นด้วยว่า ควรจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และแก้ไขต่อไปได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ และตอนหลังนี้ พลเอกสุจินดาก็ได้ยืนยันว่า แก้ไขได้ก็ค่อยๆ แก้เข้าระเบียบให้เป็นที่เรียกว่า ประชาธิปไตย อันนี้ก็ได้พูดมาตั้งหลายเดือนแล้ว ในวิธีการที่จะแก้ไข แล้วข้อสำคัญ ที่ทำไมอยากให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แม้จะถือว่ารัฐธรรมนูญนั้นยังไม่ครบถ้วน ก็เพราะเหตุว่ารัฐธรรมนูญนั้น มีคุณภาพพอใช้ได้ ดีกว่าธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ที่ใช้มาเกือบปี เพราะเหตุว่ามีบางข้อบางมาตรา ซึ่งเป็นอันตรายแล้ว ก็ไม่ครบถ้วนในการที่จะปกครองประเทศ ฉะนั้นก็นึกว่า ถ้าหากว่าสามารถที่จะปฏิบัติตามที่ได้พูดในวันที่ ๔ ธันวาคมนั้นก็นึกว่า เป็นการกลับไปดูปัญหาเดิม ไม่ใช่ปัญหาของวันนี้”

“ปัญหาของวันนี้ ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้คือความปลอดภัย ขวัญดีของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่า ประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ ทั้งลูกชายทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดี แล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งให้กับ คนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้นว่า ประเทศไทยนี้ยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่รู้สึกว่าจะเป็นความคิด ที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง ๓ วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือพลเอกสุจินดา และพลตรีจำลองช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง”

“ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน และสองท่าน เท่ากับเป็นผู้แทนฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย ฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร สำหรับให้ประเทศไทย ได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้ด้วยดี อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่าน ก็เข้าใจว่า จะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากซากปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมากว่าได้ทำดี แก้ไขอย่างไรก็แล้วแต่ที่จะปรึกษากัน ก็มีข้อสังเกตดังนี้…”

ที่สุดหลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ พลเอกสุจินดาจึงกราบบังคมทูล ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้มีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนเป็นการชั่วคราว

หลังจากนั้น เราก็ได้คุณอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่คนทั่วไปทั้งที่เมืองไทยและอังกฤษปิติยินดียอมรับได้ เหตุผลเพราะเป็น “คนดี” ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง

จากนั้น ผมกับใจก็ห่างการติดต่อกันไป ผมเรียนจบกลับมาสอนหนังสือ

ต่อมา ผมได้มีโอกาสกลับไปอังกฤษในราว พ.ศ. 2540 และได้เจอกับใจที่ School of Oriental and African Studies (SOAS) และทราบว่า เขาจบปริญญาโทด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสนใจที่จะกลับมาสอนหนังสือที่เมืองไทย หลังจากนั้น เราติดต่อกันทางจดหมาย และในที่สุด ทางภาควิชาการปกครองก็ได้อาจารย์ใหม่ ชื่อ อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ และได้เปิดวิชาลัทธิมารก์ซ น่าจะเป็นที่แรกในประเทศไทยที่มีวิชาที่ใช้ชื่อนี้ตรงๆ โดยมีอาจารย์ใจเป็นผู้รับผิดชอบสอนวิชานี้ และวิชาการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จำได้ว่า หลังจากที่ใจเป็นอาจารย์ มีวันหนึ่ง คุณหมอเหวง ((ผมจำแกได้) ได้มาที่คณะ ใส่ชุดพระราชทานสีขาว และเมื่อเห็นผม แกก็เอ่ยปากถามหาอาจารย์ใจ (แกไม่ได้รู้จักว่าผมเป็นใครหรอก ที่ถามผม เพราะเห็นผมเดินอยู่แถวนั้น)  นอกจากคุณหมอเหวงแล้ว อาจารย์ใจยังเล่าให้ผมฟังว่า เขาได้ติดต่อกับคุณสมศักดิ์ โกศยสุข ผู้นำด้านแรงงานอีกด้วย

ผมกับอาจารย์ใจถือว่าสนิทกัน ผมไปทานข้าวที่บ้านแก และแกก็มาทานข้าวที่บ้านผม

ต่อมาเมื่อเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 จุดยืนของผมกับแกต่างกันกับที่เราเคยมีร่วมกันในปี พ.ศ. 2534  เพราะในครั้งนี้ ผมบอกแกว่า ผมยอมรับการทำรัฐประหารได้ แต่แกก็เหมือนเดิม คือรับไม่ได้ เราแลกเปลี่ยนความเห็นและโต้แย้งโดยไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน เพราะก่อนหน้านี้ ตอนผมออกไปฉีกบัตรเลือกตั้ง แกก็ให้กำลังใจและยืนยันว่าเป็นสิทธิที่ผมจะทำได้ แกก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐบาลทักษิณ แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐประหาร  ซึ่งตอนนั้น คนที่มีจุดยืนแบบนี้ เขาเรียกว่าเป็นพวก “สองไม่เอา” คือไม่เอาทักษิณและไม่เอารัฐประหาร

ในวันที่ 20 หรือ 21 กันยายน ผมจำไม่ได้แน่  อาจารย์ใจตัดสินจะออกไปใช้เสรีภาพในการแสดงออกประท้วงไม่ยอมรับการทำรัฐประหาร และมีนิสิตภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ จะไปร่วมประท้วงด้วย น่าจะไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือ เก่งกิจ (ปัจจุบันคือ รศ. ดร. เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)  ทั้งหมดเป็นลูกศิษย์

ผมมีความเป็นห่วง เพราะกลัวพวกเขาจะโดนจับ และได้หารือกับอาจารย์ใจว่า พวกเขายังเรียนหนังสือไม่จบ อาจารย์ใจบอกว่า ไม่ได้บังคับ เป็นความสมัครใจของนิสิตเหล่านั้นเอง เมื่อผมถามว่า แล้วหากถูกจับจะทำอย่างไร  อาจารย์ใจแกบอกว่า แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเอง ซึ่งเท่าที่ผมรู้จักแก ผมทราบดีว่า แกจะไม่ได้บังคับหรือชักจูงอะไรใคร  ใครจะไปต้องตัดสินตามความเชื่อของตัวเอง และรับผิดชอบเอง คือ แกคิดบนฐานความเสมอภาคและให้เกียรติการไตร่ตรองตัดสินใจของแต่ละคน ที่สำคัญ แกไปนำการประท้วงด้วยตัวเอง

ผมก็ได้แต่แอบบอกเก่งกิจและนิสิตหญิงอีกคนหนึ่งว่า หากไปแล้ว ถูกจับหรือเกิดอะไรขึ้น ก็ให้รีบโทรมาบอกผมก็แล้วกัน

มีหนังสือพิมพ์ทราบว่า อาจารย์ใจจะออกไปประท้วงรัฐประหาร ก็มาสัมภาษณ์ผมในฐานะหัวหน้าภาควิชาการปกครองว่า เห็นอย่างไร ? ผมก็ตอบไปตามตรงว่า ก็ต้องรับผิดชอบเอง และสามารถถูกจับกุมตัวได้ เพราะคณะรัฐประหารเขาประกาศห้ามชุมนุมรวมตัวกัน

พออาจารย์ใจทราบที่ผมให้สัมภาษณ์ แกก็โทรศัพท์มาหา และโกรธผมว่า ทำไมถึงให้สัมภาษณ์ในทำนองจะให้จับกุมแก ผมก็บอกไปตามตรงว่า ก็ในเมื่อมันมีกฎหมายออกมาเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่เขาจะบังคับใช้ แกก็บอกว่า ตอนผมฉีกบัตร แกยังให้สัมภาษณ์สนับสนุนผม แต่จะสนับสนุนผมอย่างไร ผมก็ถูกจับอยู่ดี

แต่จะด้วยเหตุผลใด ไม่ทราบ เมื่ออาจารย์ใจและนิสิตออกไปยืนถือป้ายประท้วงรัฐประหาร แต่ก็ไม่ได้ถูกจับ ทุกคนรอดปลอดภัยดี และไม่มีหมายอะไรตามมา

ที่ผมเขียนมายืดยาวนี้ ก็ต้องการจะสื่อว่า ผมคิดถึงอาจารย์ใจ เพราะแกเป็นคนจริง เวลาจะออกไปประท้วง แกก็ไปเอง ใครจะไปหรือไม่ไป แกไม่สน แต่ถ้าลูกศิษย์คนไหนจะไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง พูดง่ายๆก็คือ แกสอน แกเสนอแนวคิดทฤษฎี มีจุดยืนทางการเมืองชัดเจน และไม่เพียงแต่พูดหรือป่าวประกาศ แต่ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองด้วย ไม่ใช้ใครไปข้างหน้า แต่อาจจะทิ้งกันได้ เพราะแต่ละคนต้องรับผิดชอบตัวเอง

ส่วนผมนั้น เวลาไปชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยชวนนิสิตไปเลย เพราะผมคิดแบบเก่าคือ ยังเห็นเขาเป็นเด็ก  ยังเรียนไม่จบ และถ้าเราชวนหรือชักจูง พวกเขาจะเชื่อเราได้ง่าย ดังนั้น ถ้าพวกเขาจะไปตามประกาศนัดหมาย ก็ต้องไปกันเอง ผมไม่เกี่ยว

เพราะถ้าผมชวน ผมต้องรับผิดชอบ แต่เมื่อผมไม่แน่ใจว่า จะสามารถรับผิดชอบพวกเขาได้ ผมก็จะไม่ชวนหรือเชียร์ และจะไปคนเดียว !                                                                                                 

                                                         

                                                                     

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 15 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน