posttoday

เล่นแร่แปรอำนาจ

25 มิถุนายน 2564

โดย...ศุภมิตร ปิติพัฒน์

******************

อำนาจไม่ใช่ของเล่น เป็นของมีคม ความข้อนี้คนที่ใช้อำนาจและอยู่กับอำนาจมาย่อมรู้ดีอยู่ทุกคน แต่คำว่าเล่นในภาษาไทยบางทีท่านก็ใช้ในทางจริงจัง เช่น เล่นกล้วยไม้ เล่นพระเครื่อง หรือเล่นการเมือง ซึ่งอย่างหลัง ใครที่เล่น ก็ต้องพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจโดยเฉพาะอำนาจรัฐอย่างเลี่ยงไม่พ้นทั้งนั้น เล่นแล้ว บางทีก็สาละวนเพลิดเพลินตามความหมายในคำว่าเล่น แต่บางทีพอไปเล่นเข้า ก็ถูกอำนาจรัฐเล่นงานเอาก็มี

การเล่นการเมืองและการเข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ ต้องเข้าใจกันก่อนว่าไม่ใช่มีแต่การเมืองเฉพาะที่เห็นในตำแหน่งทางการในทำเนียบ ในสภา ในคูหาเลือกตั้ง หรือการรวมกลุ่มจัดชุมนุมประท้วงในท้องถนน และอำนาจรัฐมิได้จำกัดอยู่ที่สถาบันและบุคลากรที่เป็นตัวแทนทางการของรัฐ เช่น กองกำลังทหารตำรวจ การเก็บภาษีอากร การทะเบียนราษฎร์ หรืองานของฝ่ายยุติธรรม

แต่ยังมีอำนาจรัฐส่วนที่แผ่ซึมซ่านเข้ามาทำงานอยู่ในความคิดจิตใจคนทั่วไปในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึมเข้ามาอยู่ในระบบบริหารจัดการของบริษัทห้างร้านองค์กรหรือหน่วยงานที่เขาต้องทำงานแลกค่าตอบแทน หรือซ่านแทรกอยู่ในเป้าหมายที่เขาตั้งขึ้นมาสำหรับตัวเอง เช่น ตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

ท่านผู้รู้ก็ว่าตรงนี้มีเชื้อมูลของอำนาจรัฐเจืออยู่ในเป้าหมายแบบนี้ด้วย เพราะว่าเทคนิคในการปกครอง โดยเฉพาะการปกครองหมู่คนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก็ต้องหาเทคนิคมาทำให้พวกเขารู้ครองตนเองให้ตรงทาง คือตรงทางกับเป้าหมายด้านใดด้านหนึ่งของรัฐ ถึงจะเป็นนักเรียน อำนาจรัฐแบบแผ่กระจายก็จะหาทางแทรกซึมผ่านหลายช่องทางเข้ามาให้นักเรียนได้ตั้งเป้าหมายอนาคตในทางที่เสริมพลังการทำงานด้านใดด้านหนึ่งของรัฐตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ

โตขึ้นอยากจะเป็นอะไรล่ะคะหนูน้อย คุณครูอาจเคยถาม หรือพอโตขึ้นมาหน่อย อาจารย์แนะแนวอาจเคยให้ทำแบบสอบถามให้รู้ตัวเองว่าเหมาะจะเรียนทางไหน หรือเห็นนายกฯ กวักมือไหวๆ อยู่ในทีวีตอนงานวันเด็กเชื้อเชิญหนูน้อยตัวแทนเยาวชนผู้โชคดีให้มานั่งเก้าอี้ทำงานของนายกรัฐมนตรี เคยเห็นนะคะ แล้วหนูอยากเป็นไหมเล่า นายกรัฐมนตรี แบบท่านที่ออกทีวีมาให้หนูเห็นอยู่ทุกวันน่ะ ... อ้าว ไม่อยากหรือ หนูไม่อยากครอบครองแหวนวิเศษหรือไร

พอโตจากเด็กนักเรียน รู้ว่าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่แล้ว บางคนก็เลยมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนนักเรียนนิสิตนักศึกษามีอิสระทางวิชาการดีเชียว แต่ไม่มีอิสระทางทุนทำวิจัย ถึงมีเงินไม่ขาดแคลนแต่มหาวิทยาลัยเขาก็ออกกฎมาว่า งานที่มาจากการควักเงินจากกระเป๋าตัวเองมาทำ แบบนั้นไม่นับเป็นงานวิจัย

กฎบอกว่างานวิจัยต้องมีแหล่งทุน ต้องมีการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ต้องผ่านความเห็นของวุฒยาจารย์ คณะกรรมการประเมินวิจัยในมนุษย์ต้องอนุมัติรับรอง และ และ และ อีกหลายและ และถ้าไม่ครบถ้วนตามกำหนดกฎเกณฑ์ จะใช้งานนั้นมาขอขึ้นตำแหน่งทางวิชาการอะไรไม่ได้ แล้วอยากได้ไหมล่ะ ตำแหน่งทางวิชาการน่ะ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว จะไม่มีตำแหน่งทางวิชาการได้ที่ไหน ไม่ได้หรือทำเป็นไม่สนใจแบบองุ่นเปรี้ยว ไม่กี่ปี เขาก็เชิญออกหรือไม่ต่อสัญญาจ้าง ได้เป็นนักวิชาการอิสระสมใจ

เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ต้องตั้งเป้าหมายทำงานวิจัยช่วยมหาวิทยาลัยยกระดับ ก็ต้องขอทุน ขอแล้วก็ต้องตั้งวัตถุประสงค์การวิจัยให้เข้ากับความต้องการของเจ้าของทุน แล้วใครล่ะเป็นแหล่งทุนวิจัย ที่ว่ามา ไม่ใช่ว่าท่านไม่แน่ แต่เจ้าของตัวจริงในวัตถุประสงค์การวิจัยที่ท่านทำ หรือแม้แต่เจ้าของผลงานวิจัยตัวจริง ไม่ใช่ท่านแน่ แม้ว่าท่านจะเป็นคนทำออกมากับมือจากแรงงานสมองของท่านจริงๆ แต่อย่างน้อยท่านก็มีสิทธิภูมิใจในผลงานที่ท่านทำได้ ลงอวดใครๆ ได้นะ เขาไม่ห้าม

ครั้นตระหนักแบบนี้ขึ้นมา ท่านอาจร้องอุทานเวทนาตัวเองอย่างคับแค้นใจด้วยภาษารสโบราณว่า โธ่ อีสัตว์เข็ญใจเอ๋ย! ซึ่งก็จะได้รับความเห็นใจจากข้าพเจ้าเป็นอันมาก

เขียนทีเล่นทีล้อมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกว่า ถ้าท่านเห็นการแผ่ซึมของอำนาจรัฐแบบกระจายไปทั่วและแทรกอยู่ทั่วไปอย่างนี้ ก็จะเห็นคนเล่นการเมือง และตามดูคนที่เข้าไปเล่นกับอำนาจรัฐได้กว้างขวางขึ้นจากเดิม คนเล่นกับอำนาจแบบนี้ เล่นด้วยแรงจูงใจต่างๆ กัน เล่นแบบอยากเอาชนะก็มี หรือเล่นให้เป็นผู้ชนะก็มาก แต่ไม่ว่าจะด้วยแรงจูงใจแบบไหน โดยพื้นฐานเขาจะเล่นกับการแปรคำเปลี่ยนความหมาย เปลี่ยนคุณค่า และปรับอารมณ์ความรู้สึกของคนต่ออำนาจรัฐแบบที่แผ่ซึมนี้เสียใหม่

สิ่งไหนเคยมีความหมายเป็นที่ยอมรับอยู่อย่างไร คุณค่าไหนอันเป็นที่พึงปรารถนา ยิ่งเป็นความหมายเป็นคุณค่าที่อำนาจรัฐทางการให้การรับรองส่งเสริมสนับสนุน หรือยกย่องว่าดี ว่าน่าเลื่อมใสด้วยแล้ว คนเล่นการเมืองกับอำนาจรัฐแบบแผ่ซึม ที่ต้องการเล่นแร่แปรธาตุสลายอำนาจรัฐแผ่ซึมแบบนี้ เขาก็จะหาทางแทรกความหมายอีกแบบแผ่ซึมเข้ามาล้อเลียน แทรกคลื่นรบกวนให้ท่านเกิดข้อกังขาต่อบทบาทตามแบบอย่าง ชักนำท่านให้ตั้งคำถามต่อคุณค่าอันควรแก่การยกย่อง

ทำให้ท่านเกิดความรู้สึกนึกเวทนาในสภาวะอดีตปัจจุบันและอนาคตของตนเอง จนต้องอุทานว่า โธ่ อีสัตว์เข็ญใจเอ๋ย เมื่อได้อุทานออกมาอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกอยากปลดปล่อยตัวเองจากสภาวะอันน่าเวทนาก็จะผุดขึ้นมาเร้าสมรรถนะกระทำการของท่านให้เร่งเปลี่ยนอัตภาวะหยาบละเอียดภายใน รื้อถอนสภาวะหยาบละเอียดภายนอก เพื่อให้พ้นจากอำนาจแผ่ซึม

พ้นไหม พ้นหรือ พ้นจากไหน?