posttoday

หลากหลายแนวคิดและแนวทางเรื่องวัคซีนโควิด-19 (16)

28 พฤษภาคม 2564

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

*****************

เสียงจากฝ่ายคัดค้าน “การยกเว้นสิทธิบัตรชั่วคราว” ที่สหรัฐ “จุดพลุ” ขึ้นมาอีกครั้งในช่วงนี้ ยังมีอีกมาก มีการชี้ให้เห็นปัญหาใหญ่ของการผลิตวัคซีนเพื่อสนองความต้องการมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลกว่ามี “คอขวด” อยู่มากมาย เช่น ปัญหา “วัตถุดิบ” ที่สำคัญในกระบวนการผลิต เช่น อนุภาคนาโนของไลปิด (lipid nanoparticles) ที่จำเป็นต้องใช้ในการห่อหุ้มวัคซีนชนิดเมสเซนเจอร์อาร์เอนเอ อย่างวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา เมสเซนเจอร์อาร์เอนเอเป็นส่วนของโปรตีนที่มีธรรมชาติเปราะบางและถูกทำลายได้โดยง่าย จำเป็นต้องห่อหุ้มด้วยอนุภาคนาโนดังกล่าว แม้กระนั้นยังต้องเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำมาก กล่าวคือวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70oซ. และของโมเดอร์นาต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -20oซ. ดังเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางแล้ว

ตอนที่ไข้หวัดนกระบาด ประเทศไทยเคยมีการเตรียมการแก้ปัญหาเพื่อให้เราสามารถผลิตวัคซีนขึ้นใช้เองได้ในประเทศ เพราะเวลานั้นวัคซีนที่คล้ายๆ กัน คือวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทั่วโลกมีกำลังผลิตราวปีละ 600 ล้านโด๊สเท่านั้น ในขณะที่ประชากรโลกเวลานั้นมีกว่า 6 พันล้านคน หากเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกจะมีแต่ประเทศที่ผลิตวัคซีนได้เองเท่านั้นที่จะมีวัคซีนใช้ เพราะทุกประเทศล้วนต้องปกป้องประชาชนของตนเองก่อน

ประเทศไทย เป็นผู้นำร่วมกับอินโดนีเซียในการผลักดันให้องค์การอนามัยโลก สนับสนุน “การถ่ายทอดเทคโนโลยี” (Technology Transfer) ของการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ / ไข้หวัดนก แก่ประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้เพราะประเทศไทยได้พยายาม “เสาะหา” เทคโนโลยีจากประเทศต่างๆ แล้ว ไม่สำเร็จ ในที่สุดองค์การอนามัยโลกได้มีโครงการดังกล่าว โดยขอให้รัสเซียถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด “เชื้อเป็น” ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ มี ไทย อินเดีย บราซิล เป็นต้น

ประเทศไทยโดยองค์การเภสัชกรรมได้สร้างโรงงาน “นำร่อง” (Pilot plant) ขึ้นที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตนครปฐม และสร้างโรงงานระดับอุตสาหกรรมที่ทับกวาง อ.แก่งคอย สระบุรี ซึ่งเวลานี้ก็ได้ใช้โรงงานดังกล่าวร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 อยู่ด้วย

ช่วงที่มีการสร้างโรงงานที่นครปฐมและสระบุรีเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2019 เวลานั้นเราก็ประสบปัญหา “ลอจิสติกส์” เรื่องหนึ่ง นั่นคือ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็นนั้น ใช้วิธีพ่นเข้าทางจมูก โดยต้องมีหลอดพลาสติกมาตรฐานที่สามารถพ่นฟองฝอยให้ได้ปริมาวัคซีนตามที่กำหนด แต่ช่วงนั้น สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็นหลังจากทำการ “วิจัยและพัฒนา” มายาวนานกว่าสิบปี โดยวัคซีนดังกล่าวต้องใช้โดยวิธีการบีบพ่นเข้าทางจมูกเช่นกัน บริษัทของสหรัฐได้ทำการ “กว้านซื้อ” เครื่องพ่นจากทั่วโลกจนหมดจากท้องตลาด

เวลานั้น ถ้าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการวิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด เชื้อเป็นจนสำเร็จ ก็จะประสบปัญหาไม่สามารถผลิตออกจำหน่ายได้ เพราะหาอุปกรณ์พ่นที่ได้มาตรฐานไม่ได้ มีความพยายาม “วิจัยและพัฒนา” อุปกรณ์พ่นดังกล่าว แต่ไม่สำเร็จ แม้เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนมากมายอะไร

แต่ตอนนั้น เราไม่มีปัญหาเรื่อง “ขาดอุปกรณ์พ่นวัคซีน” เพราะเรายังพัฒนาและผลิตวัคซีนดังกล่าวออกมาจำหน่ายไม่ได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ !

นี่เป็นตัวอย่าง “เล็กๆ” ของ “คอขวด” หนึ่งของวัคซีน กรณีของวัตถุดิบประเภทอนุภาคนาโนของสารไลปิดเป็นปัญหาใหญ่กว่ามาก

นอกจากอนุภาคนาโนของไลปิดแล้ว ในวัคซีนแต่ละชนิดยังมีสารอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ทำหน้าที่ทำให้วัคซีนคงสภาพ และออกฤทธิ์ในร่างกายมนุษย์ได้ตามที่ต้องการ นี้คือสิ่งที่พัฒนามายาวนานของ วิชาเภสัชศาสตร์

แม้เม็ดยาสามัญอย่างพาราเซตามอล ก็มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเม็ดยาเพื่อเก็บรักษาตัวยาให้คงสภาพอยู่ยาวนานพอ และเมื่อเข้าสู่ร่างกายก็สามารถแตกตัว ดูดซึม กระจาย ออกฤทธิ์ และขจัดออกจากร่างกายได้อย่างที่ควรจะเป็น

วัคซีนที่ทรงอานุภาพอย่างวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษที่มีพัฒนาการมายาวนาน ในจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ หมิง อียิปต์ อินเดีย เปอร์เซีย ตุรกี ต่อมามีการพัฒนาอย่างเป็น “วิทยาศาสตร์” โดยนายแพทย์เอดเวิร์ด เจนเนอร์ แพทย์ชนบทในอังกฤษ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2359 ปัจจุบันวัคซีนที่มีการผลิตสำรองไว้เผื่อเกิดการระบาดขึ้นมาอีก ก็มียาปฏิชีวนะจำนวนน้อยผสมอยู่ ได้แก่ นิโอมัยซิน ซัลเฟต, คลอร์เตตระซัยคลิน ไฮโดรคลอไรด์, โพลิมิกซิน บี ซัลเฟต และไดไฮโดรสเตรปโตมัยซิน ซัลเฟต เป็นต้น วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ก็มีสารต่างๆ เป็นองค์ประกอบอีกรวม 11 ชนิด

นอกจากวัตถุดิบต่างๆ ยังต้องการเครื่องจักรอุปกรณ์ เช่น ถุงไบโอรีแอคเตอร์ และยังต้องไปผ่าน “ด่าน” ต่างๆ ในระบบการขนส่งสินค้าเข้า-สินค้าออก ประสันต์ ยาทาฟว์ ผู้เชี่ยวชาญการส่งออกของ “ศูนย์พัฒนาโลก” (Center for Global Development) กล่าวว่า การยกเว้นเรื่องสิทธิบัตรไม่น่าจะช่วยอะไรได้ในช่วงหกเดือนข้างหน้า เพราะข้อจำกัดอย่างมากในห่วงโซ่อุปทาน แต่อาจเป็นประโยชน์ในการช่วยสร้างเครือข่ายการผลิตในระยะ 12-18 เดือน ข้างหน้า

ปัญหาใหญ่ของวัคซีนเวลานี้ที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ก็คือ บรรดาประเทศร่ำรวยทั้งหลายพากัน “กักตุน” วัคซีนไว้สำหรับประชากรในประเทศของต้นจน “ล้นเกิน” ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ ซึ่งสหรัฐเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากกว่าประเทศใดๆ เพราะได้สต็อควัคซีนอย่างของแอสตราเซเนกา ซึ่ง อย. สหรัฐเองก็ยังไม่รับรองไว้จำนวนมากมาย สหรัฐสามารถกระจายวัคซีนนี้ไปให้ประเทศที่จำเป็นกว่าได้ทันที โดยไม่เกี่ยวอะไรเลยกับเรื่องสิทธิบัตร

ระบบทรัพย์สินทางปัญญานั้น มีพัฒนาการมายาวนาน คงจำได้ว่า งานแรกในชีวิตของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คือ การเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานสิทธิบัตรที่กรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งที่นั่นเองที่ไอน์สไตน์ได้ใช้ประสบการณ์จากการแยกแยะคำขอสิทธิบัตรว่าอะไรที่ผู้ยื่นคำขอสมควรได้รับ อะไรที่ไม่สมควรได้รับ นำไปใช้วิเคราะห์แยกแยะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จนในที่สุดเกิด “ปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์” เมื่อ พ.ศ. 2448 (Einstein’s Miraculous Year, 1905) โดยได้ตีพิมพ์บทความวิชาการสำคัญออกมาถึง 5 เรื่องในปีนั้น ขณะที่มีอายุได้เพียง 26 ปี

โลกมีองค์กรที่ดูแลเรื่องสิทธิบัตรระหว่างประเทศ คือ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) ซึ่งมีความตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (Trade-Related Intellectual Properties : TRIPS) ซึ่งใช้ระบบหาข้อยุติหรือมติ แบบ “ฉันทมติ” (Consensus) นั่นคือการเจรจาจนเป็นที่เห็นพ้องกัน โดยแม้จะมีผู้เห็นต่างอยู่บ้าง แต่ไม่คัดค้าน มิใช่ “มติเอกฉันท์” (Unanimous) ที่ต้องมีการออกเสียงเห็นด้วยทุกประเทศ

ประเด็นเรื่องการยกเว้นสิทธิบัตรสำหรับเรื่องโควิด-19 มีการเจรจากันมาแล้วหลายรอบ แต่ก็ยังไม่ได้ “ฉันทมติ” และก็คงยากจะบรรลุฉันทมติ แม้สหรัฐจะมาเป็นฝ่ายสนับสนุนก็ตาม เพราะมีฝ่ายไม่เห็นด้วยจำนวนมาก

ก็ได้แต่หวังว่าสหรัฐจะ “จริงใจ” กับเรื่องนี้มากกว่า จะเพียงหาคะแนนนิยมเท่านั้น

********************

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้