posttoday

โน้มพระองค์สู่ประชาชน

17 ธันวาคม 2563

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

*************

ข่าวที่มีความสำคัญที่น่าจะขึ้นระดับ “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีคนพูดถึงมากแต่สื่อไม่กล้าเล่นข่าวต่อเนื่อง อาจจะเพราะยังไม่แน่ใจในเรื่องของความเหมาะสม ความสมควร ฯลฯ ทั้งที่เป็นข่าวที่ควรเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างกว้างขวาง แต่กลับเงียบไปอย่างน่าแปลกใจ

อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีใครกล้าพูด กล้าเขียน กล้าเผยแพร่ ทั้งที่เป็นเรื่องดี ๆ ที่ประชาชนไทยสมควรได้รับทราบ ส่วนทราบแล้วจะพอใจหรือไม่ จะชอบหรือไม่ เราไม่สามารถบังคับจิตใจกันได้

หลายคนคงเดาออกว่าข่าวที่ว่านี่คืออะไร ถูกต้องแล้วครับ ข่าวที่พูดกันมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา คือ เรือ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าพระบรมราชินี เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เมื่อค่ำวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ไปร่วมงานพิธีปิดโครงการค่ายผู้นำเยาวชนจิตอาสา รุ่นที่ 1 จำนวน 200 คนจากทั่วประเทศ ที่ศูนย์ฝึกอบรมซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่เป็นที่ตั้งของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์

จากนั้น มีคลิปที่มีคนร่วมชุมนุมถ่ายไว้นำมาเผยแพร่ในสื่อโซเชียล และมีการแชร์กันต่อไปอย่างกว้างขวาง ต่อมาก็มีคลิปที่เด็กคนอื่นถามทยอยออกมาบ้าง ตามด้วยคลิปฉบับเต็มที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบคำถามเด็กๆทั้งหลายอย่างเป็นกันเอง ด้วยท่าทีสบาย ๆ ทั้งสองฝ่าย เด็กๆ ตัวแทนกล้าที่จะพูด จะถาม อย่างฉาดฉาน จากนั้นมีการแชร์กันอย่างกว้างขวาง ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์เห็นจะมีแต่ “ไทยโพสต์” ฉบับเดียวที่ลงพระราชดำรัสเต็มแบบคำต่อคำ

ต่อมา มีบางท่านได้กรุณานำพระราชดำรัสตอบมาเผยแพร่เป็นตอน ๆ ไป ลงในสื่อโซเชียล ทำให้ไม่ยาวนัก คนฟังไม่เบื่อ หากต้องการติดตามฟังต่อ ก็เปิดคลิปต่อไปฟังได้ เวลานี้ มีคนเข้ามาดูและแชร์ส่งต่อกันมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ส่วนใครชมแล้วจะมีความเห็นเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

หลังจากนี้ คงมีหลักสูตรสำหรับเยาวชนจิตอาสา รุ่นต่อไปทยอยตามกันมา เยาวชนเหล่านี้จะนำความรู้กลับไปเผยแพร่ให้กับเพื่อนฝูงและชุมชนของตนต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินชิวิต การทำมาหากิน ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ในหลวงองค์ปัจจุบันนำมาต่อยอด

แน่นอน อนาคตเป็นของคนรุ่นใหม่ ที่จะรับไม้ต่อจากคนรุ่นเก่าที่คนรุ่นเก่าไว้ใจว่าจะสืบต่อความเป็นไปของชาติบ้านเมืองได้ ไม่ใช่ทำลายล้างสิ่งที่เป็นมาทั้งหมดและสร้างขึ้นใหม่ เพราะประวัติศาสตร์มีทั้งดีไม่ดี แต่ต้องสรุปบทเรียนและเลือกสิ่งดี ๆ มาใช้เป็นแนวทางในการสร้างชาติต่อไป ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นใหม่ ใม่ต้องไปก่อม็อบ เอาเวลาไปทำสิ่งดี ๆ ให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชนต่อไป

เยาวชนเหล่านี้นี่แหละที่เป็น “อนาคตของชาติ”ที่แท้จริง ชาติฝากความหวังให้กับเด็กรุ่นใหมดี ๆ ที่ได้รับการสั่งสอน อบรมมาเป็นอย่างดี เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติ สืบสานงานต่อในสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้ทำไว้ สิ่งใดที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ต้องปรับเปลี่ยนกันไป

ในค่ำคืนวันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวทรงเป็นกันเองกับบรรดาเยาวชนเหล่านี้ “ ภายใต้บรรยากาศสบายๆ “ ที่พระองค์ท่านพูดคุยเป็นกันเองกับเยาวชน ทำให้เด็ก ๆ ไม่รู้สึกเกร็ง กล้าพูด ถล้าถาม ขณะเดียวกัน ทรงพระราชทานข้อคิดแก่เยาวชนให้ไปคิด ย้อนความหลังไปเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นเยาวชน ทรงได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น บางทีก็เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เสด็จพ่อก็ดึงกลับมาเข้าทาง ไม่เช่นนั้นก็อาจตกท่อตกคูไปแล้วก็ได้ สมัยเป็นนักเรียน ผู้ใหญ่บอกบางทีก็ไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็เดือดร้อนตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องสอบซ่อม ฯลฯ

สะทอนให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเข้าใจความคิด ความอ่านและความประพฤติของเยาวชนวัยรุ่นเป็นอย่างดี

พระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำแบบเข้าใจง่ายไว้ว่า “ทุกอย่างเริ่มที่ตัวเอง และจบที่ตัวเอง ....อนาคตที่ดีเริ่มต้นที่ตัวเอง... หากทำดีก็ก็สะท้อนไปถึงส่วนรวม หากทำเลอะเทอะ เละเทะ ทำร้ายประเทศชาติ ก็ทำร้ายตัวเอง"

ตอนหนึ่ง พระองค์ท่านทรงแนะนำให้เยาวชนศึกษาและเข้าใจประวัติศาสตร์ของชาติไทย โดยเปรียบว่า “ชีวิตเรามีความต่อเนื่องความเป็นมา ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของบ้านเมือง มีทั้งดีและไม่ดี ที่สำคัญคือ เราต้องเอาบทเรียนมาใช้ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพราะเราคืออนาคต"

พระองค์ทานมีพระราชดำรัสแก่เยาวชนตอนหนึ่งว่า "ที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะแผ่นดินที่แล้ว และแผ่นดินก่อน ๆ"

ทรงตอบคำถามเยาวชนว่า พระองค์ท่านก็ “เหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป บางวันก็ท้อ บางวันก็เสียใจ บางวันก็แทบไม่อยากต่อสู้กับความไม่ดี .... กำลังใจไม่ได้มาจากเวลาที่เราแข็งแรงที่สุด กำลังใจ ความมั่นใจมาจากสิ่งที่ได้รับการอบรมโดยความเชื่อที่ถูกต้อง”

ใครที่ไม่ได้ดูและฟังคลิปที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียล ผู้เขียนขอแนะนำว่า ต้องไปหาฟังดูหลาย ๆ ครั้ง แล้วจะเห็นว่า สถาบันกษัตริย์ไม่ได้เป็นอะไรที่สูงเกินเอื้อมเลย ตรงกันข้าม ตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเปรียบเสมือน ”พ่อของแผ่นดินไทย” ได้ใกล้ชิดกับประชาชนมากและทรงงานทุกอย่างเพือประชาชนของพระองค์เอง

สถานการณ์แวดล้อมของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์โลก ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้คนรับรู้ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทำให้ความคิดของคนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ไมเว้นแม้แต่สถาบันสูงสุดของชาติก็ต้องปรับตัวเข้ากับสภาวะความคิดของพสกนิกรชาวไทยด้วย

เพราะความจริงก็คือ ไม่ว่ากษัตริย์ในรัชกาลใด ทรงงานเพื่อชาติและพสกนิกรมากน้อยเพียงใด ก็ต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ผ่านมาได้เพราะมีคนรักและชอบมากกว่า แต่กษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ปรับพระองค์เข้ากับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ตลอดเวลาภายใต้สภาวะแวดล้อมของชาติขณะนั้น

เราจะคาดหวังให้ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงงานเหมือนกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ไม่ได้เพราะบุคคลิกที่แตกต่างกัน แต่ในหลวงองค์ปัจจุบันทรงรักษา สืบทอด โครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทุกประการ และทรงโน้มพระองค์ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ดังเช่นที่เราได้เห็นเสมอที่หลังเสร็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพระราชพิธีต่าง ๆ พระองค์ท่านและพระบรมราชินีเดินพบปะและน้อมพระองค์พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับประชาชนที่ไปรอเข้าเฝ้า ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ทรงฉายพระรูปร่วมกับประชาชนอย่างไม่ถือพระองค์ ทรงลงพระนามบนพระบรมฉายาลักษณ์ที่ประชาชน ฯลฯ

การสื่อสารระหว่างสถาบันสูงสุดและประชาชนก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย ไม่เช่นนั้นไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงในความคิดของคน เพราะคนไทยรุ่นใหม่ใจร้อน ไม่ค่อยอดทน จะสื่อสารอะไรก็ต้องให้กระชับ สั้น ตรงประเด็น รวดเร็วทันใจ ผ่านสื่อโซเชียล รับฟ้องเสียงสะท้อน ถ้ามัวแต่ใช้วิธีเก่า ก็ต้องมาคอยนั่งตามแก้ข่าว หรือเดินตามหลังม็อบล้มเจ้าตลอดเวลา ในขณะที่เรามีของดี ๆ แต่กลับไม่กระจายให้ประชาชนได้รับทราบ พระราชกรณียกิจที่ไม่เป็นทางการของในหลวงพระองค์นี้มีมากมาย แต่ไม่มีการนำเสนอสู่ประชาชน หรือเสนอในรูปแบบเก่า ๆ ที่เดินตามหลังฝ่ายตรงข้ามตลอด

วีดีโอภาพและข่าวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีเสด็จเป็นการส่วนพระองค์เยี่ยมเยียนพูดคุยกับกลุ่มเยาวชนครั้งนี้ ที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลและมีคนดู คนอ่านจำนวนมาก มีการแชร์กันต่อๆ ไป นับว่าเป็น “การเริ่มต้นการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับในหลวงและพระราชินี ” รูปแบบใหม่ ซึ่งแยกจากข่าวในพระราชสำนักช่วงสองทุ่มทุกวันซึ่งเป็นข่าวทางการ ยังสามารถสะกัดนำมาเผยแพร่ต่อทางสื่อโซเชียลได้ด้วย แน่นอน ย่อมมีคนที่แสดงความเห็นในทางลบบ้าง แต่ประชาชนจะตัดสินเองว่าข่าวไหนความเห็นใด ถูกหรือผิด

ประชาชนเท่านั้นที่เป็นกำแพงเหล็กปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่คู่ประเทศไทยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้