posttoday

เหลียวหลังแลหน้าไวรัสโคโรนา-2019 (41)

08 ธันวาคม 2563

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

********************

ทางด้านสหรัฐอเมริกา ซึ่งควรจะเป็นผู้นำโลกในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เหมือนที่เคยเป็นผู้นำในการพิชิตโรคซาร์ส , เมอร์ส , อิโบลา , ไข้หวัดใหญ่ 2009 , และโรคอุบัติใหม่อื่นๆ มาแล้ว แต่ภายใต้ภาวะผู้นำของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทำตัวเป็น “นักเลงโต” แบบ “นักเลงอันธพาล” สร้างศัตรูไม่เลือกหน้า ไม่สนใจ “วิชาการและหลักฐาน” มีพฤติกรรมแบบ “ข้าเก่งคนเดียว” “ทุกคนต้องฟังข้า” “ใครขวางหน้าข้าปลด”

ไม่สนใจสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่มองสื่อมวลชนเป็นกระจกสะท้อนเสียงและความต้องการของประชาชน ถือดีว่าสามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์ส่งข่าว “อันทรงอานุภาพ” ของตน ถึงประชาชนทั่วโลกโดยเฉพาะชาวอเมริกันที่เป็นฐานเสียง หรือ “แฟนคลับ” ได้โดยตรง สหรัฐจึงล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ทำให้ชาวอเมริกันตรวจพบการติดเชื้อสูงที่สุดในโลก และเสียชีวิตมากที่สุดในโลกอย่างยาวนานหลายเดือน โดยข้อมูล ณ วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563 สหรัฐมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 10,066,916 คน และเสียชีวิตสูงถึง 241,186 คน มากกว่าทหารอเมริกันที่ไปเสียชีวิตอย่างอัปยศอดสูในสงครามเวียดนามแล้วกว่า 3 เท่า

สหรัฐไม่เพียงควรจะควบคุมป้องกันโรคนี้ได้ดี แต่ควรเป็นผู้นำโลกในการควบคุมและป้องกันโรคนี้ด้วย เพราะสหรัฐมีศักยภาพมากมาย ได้แก่ (1) มีหน่วยงานวิจัยสร้างความรู้ที่เก่งที่สุดในโลก คือ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) หรือ เอ็นไอเอช (NIH) (2) มีหน่วยงานควบคุมป้องกันโรคที่เก่งที่สุดในโลก คือ ศูนย์ควบคุมโรค (Centers for Disease Control and Prevention) หรือ ซีดีซี (CDC) (3) มีทรัพยากร มากมาย มั่งคั่งร่ำรวยมากที่สุดในโลก ทั้งเงินทอง เครื่องมืออุปกรณ์ และ (4) มีสถาบันการศึกษา และมี ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงอย่าง นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติด้านโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อมาอย่างยาวนาน โดยเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วย

การที่จีนประกาศตั้งแต่แรกอย่างถูกต้องว่า เชื้อต้นเหตุของโรคนี้คือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2563 และสามารถถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อ ประกาศเปิดเผยต่อชาวโลกตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2563 เป็นโอกาสอันดียิ่งที่สหรัฐจะใช้ฐานทรัพยากรอันมากมายมหาศาลของตนเข้าไปจัดการเรื่องนี้ ทั้งการควบคุมโรคแต่เนิ่นๆ รวมทั้งเร่งวิจัยและพัฒนายาและวัคซีนออกมาตามหลักวิชาการ ไม่ใช้อำนาจ “บีบบังคับ” ผู้คนไปทั่ว เพื่อจะออกมาประกาศแก่ประชาชนว่า “จับแมวดำ” ได้แล้ว สหรัฐจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้อย่างแน่นอน

ข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ชี้ชัดว่า โรคนี้แพร่เข้าสหรัฐตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2563 แต่เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพมาตั้งแต่ต้น ทำให้มีการสั่งยุบหน่วยข่าวกรองด้านสุขภาพโลก (Global Health Intelligence Unit) ในสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ (US National Security Council) มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 และลดงบประมาณของซีดีซีลงอย่างมาก ดังนั้น เมื่อมีรายงานถึงทรัมป์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นปี ทรัมป์กลับเลือกเฉยเมยไม่เร่งรัดจัดการแก้ปัญหาโดยเร็ว โดยได้ “แก้ตัว” ในภายหลังว่า “เพราะไม่ต้องการสร้างความตระหนกตกใจให้แก่ประชาชน” ทำให้ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็น “ช่วงเวลาทอง” ของการระงับยับยั้งการแพร่ระบาดใหญ่ของโรค ซีดีซีมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งประเทศไม่ถึง 500 ราย

ซีดีซี เป็นต้นตำรับของหลักการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อว่าต้อง “รู้เร็ว และแก้ปัญหาอย่างฉับพลัน” (Early Recognition and Prompt Response) เพราะเชื้อโรคสามารถแพร่ระบาดไปได้อย่างรวดเร็วในลักษณะ “ทวีคูณ” (Double) หรือ “พหุคูณ” (Exponential) การควบคุมโรคแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง ถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นช้าออกไป โรคจะแพร่ระบาดออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ “ยากแก่การควบคุม” หรือ “ควบคุมไม่ได้” โดยเฉพาะโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อโรคมีการเพิ่มจำนวนในลักษณะพหุคูณ และติดต่อแพร่ระบาดไปอย่างกว้างขวางได้โดยง่าย และโดยรวดเร็ว

ซีดีซี ยังเป็นต้นตำรับของตำราการควบคุมโรคระบาด คือ การเข้าไป “ปิดล้อมโรค” (Containment of disease) มิให้แพร่ระบาดไปยังคนใกล้เคียง การ “ตรวจและติดตาม” (Testing and Tracing หรือ Testing and tracking) และทำการ “แยกกัก” เพื่อเฝ้าระวัง (Surveillance) หรือ “กักกัน” (Quarantine) ตามความจำเป็น

การละเลยการเร่งควบคุม ปิดล้อม แยกกักและกักกันตัว แต่เนิ่นๆ ของสหรัฐ ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดำเนินไปเหมือนในอิตาลีอย่างรวดเร็ว นั่นคือ โรคได้แพร่ระบาดเข้าไปในกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่คนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว และโดยเฉพาะคือคนยากจนที่ไม่มีประกันสุขภาพ หรือมีประกันสุขภาพแต่ไม่ครอบคลุม ทำให้มีผู้ป่วยหนักจำนวนมากเกินกำลังโรงพยาบาลต่างๆ จะรับไหว จึงเกิดการเสียชีวิตมากมายจนฝังศพไม่ทัน เพราะนอกจากต้องทำพิธีทางศาสนาแล้ว ในพิธีศพยังต้องมีมาตรการในการป้องกันการแพร่เชื้ออย่างเข้มงวด และเพราะขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันตัว (Personal Protective Equipment : PPE) ทำให้บุคลากรติดเชื้อ ล้มป่วย และเสียชีวิตโดยไม่สมควรจำนวนไม่น้อยด้วย

น่าสลดใจ ที่ความล้มเหลวของการป้องกันและควบคุมโรคในสหรัฐ เกิดขึ้นหลังมาตรการปิดเมืองอู่ฮั่นในจีนเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 แล้ว ซึ่งข่าวคราวความสำเร็จของจีนปรากฏแก่ชาวโลก จนเปิดเมืองได้อย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 8 เมษายน แต่ความล้มเหลวของสหรัฐก็ยังประจานความไร้ประสิทธิภาพของผู้นำสหรัฐมาอย่างยาวนานอีกหลายเดือน ซึ่งแทนที่จะ “ไหวตัว” “ทบทวนนโยบาย” เพื่อ “แก้ปัญหา” อย่างถูกต้อง ทรัมป์กลับ “แก้ตัว” และใช้วิธีโยนความผิดด้วยการกล่าวหาว่าเป็นความผิดของจีน และเป็นความเอนเอียงขององค์การอนามัยโลก โดยการประกาศยุติการจ่ายเงินสนับสนุนและกำหนดถอนตัวจากการเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้ แต่ความผิดพลาดและล้มเหลวของทรัมป์ก็เป็นบทเรียนราคาแพงที่ประชาชนอเมริกันตัดสินใจ “โหวตไล่” ทรัมป์ออกจากตำแหน่งไปได้ในที่สุด

โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ได้กล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะที่มลรัฐเดลาแวร์ ที่เขาเติบโตและเป็นวุฒิสมาชิกของมลรัฐแห่งนี้มาหลายสมัย (โจ ไบเดน เกิดที่มลรัฐเพนซิลวาเนีย) เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน ที่จะเป็นประธานาธิบดีของชาวสหรัฐ ทั้งรัฐและคนที่เลือกและไม่เลือกเขา เรียกร้องความสามัคคีและผนึกกำลังกันเยียวยาแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาติ เพราะเขาเคยพ่ายแพ้และรู้หัวอกของคนพ่ายแพ้ดี เขาจบสุนทรพจน์ด้วยเรื่องเล่าที่พ่อเขาบอกเขาว่า “อย่าสูญเสียความศรัทธา” (Don’t lose faith) และแม่ของเขาย้ำว่าต้องทำมากกว่านั้น นั่นคือให้ “เผยแพร่ความศรัทธา” (Spread faith) ด้วย

โจ ไบเดน ประกาศจะแก้ปัญหาโควิด-19 โดยเร็วซึ่งน่าเชื่อว่า เขาจะทำได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็น เพราะช่วงที่ประกาศชัยชนะคนอเมริกันติดเชื้อในสถิติที่อยู่ในระดับสูงสุดคือวันละกว่าแสนราย ในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูที่ปกติไข้หวัดใหญ่จะแพร่ระบาดในประเทศหนาวอยู่แล้วด้วย (ต่างจากประเทศร้อนอย่างประเทศไทยที่ไข้หวัดใหญ่จะระบาดในฤดูฝน) อีก 2 เดือนเศษ ก่อนเข้ารับตำแหน่งช่วงปลายเดือนมกราคม การแพร่ระบาดน่าจะซาลงโดยธรรมชาติแล้ว และถึงเวลานั้นน่าจะมีวัคซีนที่น่าเชื่อว่าปลอดภัยและได้ผลได้ขึ้นทะเบียนออกมาฉีดให้ประชาชนแล้วด้วย

ทรัมป์ พ่ายแพ้แก่โควิด-19 ไปแล้ว ขณะที่ประธานาธิบดีสไตล์เดียวกันอย่างที่บราซิลยังอยู่ตำแหน่งไปอีกนาน โดยบราซิลตามมาเป็นที่สามรองจากสหรัฐและอินเดีย คือ ติดเชื้อ ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน จำนวน 5,664,115 คน ตาย 162,397 คน นิวซีแลนด์ ได้ชื่อว่าควบคุมโรคได้ดี ติดเชื้อ 1,626 ราย ตาย 25 คน มีผลให้นายกรัฐมนตรีหญิงชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม ไต้หวันก็ควบคุมโรคได้ดี ติดเชื้อเพียง 577 ราย ตาย 7 คน และประธานาธิบดีหญิง คือ ไช่อิงเหวินก็ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น

***************

ข่าวล่าสุด

สรุป 5 เทรนด์ธุรกิจปี 2026 คู่มืออยู่รอดของคนทำมาค้าขาย