posttoday

มารยาทและความสุภาพ

21 กันยายน 2563

โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร                            

*******************

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า มารยาทและความสุภาพเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ คุณธรรมในที่นี้ หมายถึงคุณธรรมในความหมายในภาษากรีกโบราณ arete ที่หมายถึงความประเสริฐหรือ excellence ของสิ่งหนึ่งๆไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มี เช่น “คุณธรรม” ของม้าคือ วิ่งเร็ว “คุณธรรม” ของมีดคือความคม “คุณธรรม” ของดวงตา คือ การเห็นได้ชัดเจน ฯลฯ

คุณธรรมของมนุษย์เป็นผลจากพัฒนาการของมนุษย์ที่มาอยู่รวมกันเป็นสังคม ช่วยให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเป็นไปด้วยดี  คุณธรรมตัวนี้---มารยาทและความสุภาพ---มีปรากฎในทุกสังคม แต่ก็อาจแตกต่างกันได้ แต่ก็น่าคิดว่า มันมีมารยาทและความสุภาพที่เป็นสากล ที่ช่วยให้มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาสามารถมีปฏิสัมพันธ์หรือเริ่มปฏิสัมพันธ์กันด้วยดีได้หรือไม่ ?

มารยาทและความสุภาพคือการแสดงอาการที่ส่อถึงเจตนาดีหรือมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เมื่อคนสองคนที่เป็นคนแปลกหน้าเจอกัน การมีมารยาทและความสุภาพเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้คนแปลกหน้าสองคนสามารถเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันได้ง่ายขึ้น การยิ้มให้ก็ถือเป็นมารยาทและความสุภาพชนิดหนึ่ง ที่แทบทุกสังคมต่าง “ตีความ” และ “ให้ความหมาย” ของการยิ้มในทางบวก แน่นอนว่า มันจะต้องเป็นยิ้มธรรมดาๆ ไม่ใช่ยิ้มเยาะ

บางคนอาจจะสงสัยว่า การยิ้มมันไม่ได้มีความหมายที่ดีในตัวมันเองหรือ ถึงจะต้อง “ตีความและให้ความหมาย” ด้วย !! ก็อย่างที่กล่าวถึง “การยิ้มเยาะ” มันบ่งบอกว่ายิ้มมีหลายอย่าง และยิ้มบางอย่างก็มีความหมายแตกต่างหรือตรงกันข้ามกับการยิ้มบางอย่าง ขณะเดียวกัน มีคนเคยศึกษาว่า แต่เดิมที “การยิ้มแบบเห็นฟัน” นั้นถือเป็นการแสดงอาการไม่เป็นมิตรและออกจะก้าวร้าวด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? นักวิชาการบางพวกที่ช่างคิด (และอาจจะไม่มีอะไรทำมากนัก !) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยการยิ้มแบบเห็นฟัน และสรุปว่า การยิ้มแบบเห็นฟันนั้นคือ การแยกเขี้ยว และในสัตว์อื่นๆ เวลามันอ้าปากทำท่าคล้ายยิ้มและให้เห็นฟันนั้น มันคืออาการข่มขู่ก้าวร้าว และแสดงท่าทีของการพร้อมจะต่อสู้ เวลาเสือหรือหมามัน “ยิ้มเห็นฟัน” ขึ้นมาหละก็ ก็เตรียมระวังตัวได้เลย         

   

มารยาทและความสุภาพ

มารยาทและความสุภาพ

                        

วิวัฒนาการจากการ แยกเขี้ยว มาสู่ การยิ้ม ??!!

และนักวิชาการพวกนี้ก็เชื่อว่า เดิมที มนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เวลาที่เจอมนุษย์อีกคนหนึ่ง และดันยิ้มแบบให้เห็นฟันออกมา ก็มีความหมายไม่ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ นั่นคือ แสดงความไม่เป็นมิตรออกมาและพร้อมที่จะต่อสู้ ซึ่งการศึกษาวิจัยนี้ฟังดูมีเหตุผลไม่ใช่น้อยเลย เพราะถ้าคิดดีๆ มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติหรอกที่การยิ้มแบบเห็นฟันจะมีความหมายที่ดีตั้งแต่ต้น มันน่าจะหมายถึงการเตรียมพร้อมสู้พร้อมกัดมากกว่า มนุษย์ยุคหินคงยังไม่ได้ให้ความหมายกับการยิ้มทั้งแบบเห็นฟันและไม่เห็นฟันในทางที่ดีเหมือนกับที่มนุษย์ในยุคหลังๆอย่างเราๆให้ความหมาย แต่ก็น่าคิดน่าสงสัยอย่างยิ่งว่า มนุษย์เราพัฒนาการให้ความหมาย “การแยกเขี้ยว” มาเป็น “การยิ้มจริงใจ” ได้อย่างไร ? เพราะถ้าว่ากันตามธรรมชาติจริงๆแล้ว การยิ้มแบบเห็นฟันมันคือการแยกเขี้ยวเราดีๆนี่เอง มันกลายเป็นมารยาทและความสุภาพที่แสดงถึงท่าทีที่เป็นมิตรได้อย่างไร ??

นอกจากยิ้มที่เป็นมารยาทและความสุภาพชนิดหนึ่งและน่าจะมีความเป็นสากลด้วย  มนุษย์ในแต่ละสังคมก็จะมีชุดของภาษาร่างกายที่ถูกให้ค่าและความหมายว่ามีมารยาทและสุภาพ และบ่งชี้ถึงเจตนาที่ดีต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นท่าเดิน กิน ดื่ม ลุก นั่งและยืน หรือแม้กระทั่งนอนเล่น  นอกจากภาษาร่างกาย เราก็มีชุดของภาษาพูดที่เป็นการพูดที่ถูกให้ค่าและความหมายว่ามีมารยาทและสุภาพ และบ่งชี้ถึงเจตนาที่ดีต่อกันด้วย เช่น การกล่าวคำว่า สวัสดี และมี “ครับ” หรือ “คะ” ตามมา และการกล่าวสวัสดีก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้อะไรต่ออะไรดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการจากกันและกันง่ายขึ้น หรือแม้เพียงเพื่อจะขอความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง แต่แน่นอนว่า  ภาษาร่างกายและภาษาพูดที่เป็นมารยาทและความสุภาพก็อาจแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม ดังนั้น ยามไปสังคมอื่น มนุษย์ก็น่าจะศึกษาเรียนรู้ชุดภาษากายและภาษาพูดที่สุภาพเพื่อความสะดวกราบรื่นในการปฏิสัมพันธ์ ดังภาษิตที่ว่า เข้ามาตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตาม

มารยาทและความสุภาพ

ในสังคมหนึ่งๆ ก็ยังมีความแตกต่างกันไปในชุดมารยาทและความสุภาพ ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นชุดมารยาทของแต่ละชนชั้นก็ได้ ชนชั้นสูงก็มีชุดมารยาทและความสุภาพของพวกเขา และชนชั้นล่างก็เช่นกัน และแน่นอนว่าระหว่างชนชั้นก็มีรหัสของชุดมารยาทและความสุภาพที่ถูกกำหนดขึ้นมาให้ใช้ต่อกันและกัน ในเงื่อนไขแบบนี้ ชุดมารยาทและความสุภาพกลายเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่หรือดูถูกเหยียดหยามก็ได้ด้วย เช่น ไพร่จะต้องแสดงภาษากายและภาษาพูดที่สุภาพต่อผู้เป็นนาย และพวกเขาย่อมจะไม่ใช้ชุดภาษาดังกล่าวกับไพร่ด้วยกันเอง เพราะเมื่อใช้แล้ว จะมีความหมายแตกต่างจากยามที่ใช้กับนาย

ส่วนนายแม้ว่าจะมีเจตนาดีต่อไพร่บางคน ก็คงไม่ใช่ชุดภาษาที่สุภาพชุดเดียวกันกับที่ใช้กับคนในชนชั้นเดียวกันกับตัวเอง ไพร่อาจจะพูดกูมึงในหมู่ไพร่ด้วยกัน และนายก็อาจจะพูดกูมึงในหมู่นายด้วยกันในบางโอกาส ทั้งดีและไม่ดี บางครั้งก็หมายถึงโกรธกัน แต่บางครั้งหมายถึงสนิทชิดเชื้อกัน แต่ไพร่จะไม่สามารถพูดกูมึงกับนาย หากพูดเมื่อไรก็แปลว่า ไม่เคารพไม่ยอมรับความสูงกว่า แต่ยามนายพูดกูมึงกับไพร่ก็ถือเป็นเรื่องปรกติ  ก็น่าคิดว่า ทำไมยามไพร่ด้วยกันพูดกูมึงถือเป็นความกันเองและเสมอภาค แต่ยามนายพูดมึงกูกับไพร่กลายเป็นเรื่องของการมองว่าต่ำกว่าไปได้ คำตอบก็คือ นายพูดได้ฝ่ายเดียวนั่นเอง !

แต่สังคมทั่วโลกก็ได้เปลี่ยนไปมากแล้ว และเปลี่ยนไปในทิศทางที่คล้ายๆกัน นั่นคือ เสมอภาคกันมากขึ้น แต่การเสมอภาคกันไม่ได้หมายความว่า มารยาทและความสุภาพจะต้องหายไปด้วย เพียงแต่ชุดมารยาทและความสุภาพระหว่างชนชั้นจะค่อยๆหายไป และจะเกิดชุดมารยาทและความสุภาพที่คนด้วยกันใช้กับคนด้วยกันอย่างเสมอภาค อย่างที่เคยเห็นเด็กบางบ้านพูดกับคนงานในบ้านไม่ต่างจากพูดกับพ่อแม่พี่น้องของเขา นั่นคือ มีครับมีคะกับคนงานในบ้าน คนงานก็มีความรู้สึกที่ดี และเด็กที่พูดก็มีความรู้สึกที่ดี และคนทั้งสองก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกันและกัน

บางคนมีความเห็นว่า มารยาทและความสุภาพเป็นเรื่องดัดจริต ไม่เห็นจะต้องมาพูดครับขาอะไรกัน และพูดตรงๆกันเลยน่าจะไม่ดัดจริต นั่นคือ มึงกู (ความหมายในปัจจุบัน) กันไปเลย ถือว่าจริงใจดี ซึ่งก็มีความจริงอยู่ไม่น้อย เพราะในที่สุดแล้ว ยามเริ่มต้นอาจจะผมคุณ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สนิทกันแล้ว ก็ลงที่กูมึงอยู่ดี แต่นั่นก็ต้องสนิทกันแล้ว ซึ่งความสนิทสนมก็ย่อมต้องใช้เวลา จะมากหรือน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง บางคนเมื่อรู้จักกันไปแล้ว ก็ไม่สนิทหรือไม่สามารถสนิทได้ หรือบางคนอาจจะใช้คุณผมตลอดไป แม้ว่าจะสนิทกันมากแล้ว ก็ย่อมได้เหมือนกัน ก็แล้วแต่จะเลือก แต่ก็ต้องคำนึงถึงค่านิยมของคนที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วยว่า เขาคิดแบบเราหรือเปล่า

อย่างไรก็ดี คนที่บอกว่า มารยาทและความสุภาพเป็นคุณธรรมของมนุษย์ เขาก็บอกด้วยว่า มันเป็นคุณธรรมขั้นต่ำสุด หรือขั้นแรกเลยก็ว่าได้  เพราะคนที่มีมารยาทและสุภาพอาจจะเป็นคนโกหก โกง เอาเปรียบ หลอกลวงได้ ขณะเดียวกัน เวลาคนพวกนี้พูดจาสุภาพและมีมารยาทก็ไม่ได้หมายความว่าเขามีมารยาทและสุภาพเพื่อหลอกให้เราตายใจ แต่เป็นเพราะคนพวกนี้บางคนถูกเลี้ยงมาแบบนั้นจริงๆ แต่ก็มีพวกที่ใช้มารยาทเป็นเครื่องมือประกอบการทำร้ายคนอื่นด้วย ขณะเดียวกัน การพูดจาหยาบคายก็ไม่ได้หมายความว่า จะจริงใจ ซื่อ ไม่โกงเสมอไปด้วย

ก็คงต้องเป็นสิ่งที่พิจารณาไตร่ตรองกันเองว่า ใครจะเลือกมีคุณธรรมขั้นต่ำตัวนี้หรือไม่และอย่างไร ? มันจะดัดจริตหรือไม่นั้น มันก็อยู่ที่ใจของคุณเอง

(ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Way Magazine กันยายน พ.ศ.2554)

มารยาทและความสุภาพ