posttoday

ความในใจของนายกฯประยุทธ์ (1)

29 สิงหาคม 2563

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

*****************

แม้เราไม่อาจจะรู้ใจคนอื่นได้อย่างถูกต้อง แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะคาดเดาดูได้

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งย่อมจะถูกวิจารณ์ได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการวิจารณ์ก็จะต้องวิจารณ์ในเรื่องสาธารณะเช่นเดียวกัน จะไปเอาเรื่องส่วนตัวของท่านมาวิจารณ์ไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะถูกท่านฟ้องร้อง (อย่าลืมนะว่าท่านมีเนติบริกรที่พร้อมจะรับใช้ท่านอยู่มากมาย) แต่ถ้าเป็นเรื่องสาธารณะอย่างดีก็แค่ “ทัวร์ลง” จากคนที่ชอบและปกป้องท่านเท่านั้นเอง

พล.อ.ประยุทธ์ ก็เหมือนกับนายทหารใหญ่ๆ ทั้งหลาย ที่มีการเติบโตทางหน้าที่ราชการมาตามลำดับ และเมื่อขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกใน พ.ศ. 2553ก็กลายเป็นเป้าในการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน ประเด็นหนึ่งก็คือจะมีการปฏิวัติในสมัยของผู้บัญชาการทหารบกคนนี้หรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2554 ได้ประกาศว่าผู้บัญชาการทหารบกผู้นี้ “จะไม่ทำการปฏิวัติโดยเด็ดขาด”

ในขณะที่สื่อมวลชนก็รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็น “สายแข็ง” คือจงรักภักดีต่อสถาบันเป็นที่ยิ่ง ทว่าในท่ามกลางวิกฤติการเมือง “ชัตดาวน์แบงค็อก” ในปลายปี 2556 ที่รุนแรงสืบเนื่องจนข้ามมาเกือบจะกลางปี 2557 เราก็ไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ มากนัก จนกระทั่งมีการเชิญให้แกนนำกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน “ไปร่วมพูดคุย” กันที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีในวันที่ 21พฤษภาคม แต่ยังคุยกัน “ไม่รู้เรื่อง” จึงมีการคุยกันต่อมาในวันรุ่งขึ้น ซึ่งลงท้ายของบ่ายวันนั้นว่า “เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ก็ยึดอำนาจเสียเลย” พร้อมกับการแถลงการณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ

ผู้เขียนจำได้ว่าใบหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ เต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานจ๋อย เหมือนรอยยิ้มของพิธีกรรายการเบาสมองทางโทรทัศน์มากกว่าที่จะเป็นรอยยิ้มของหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย ร่วมกับการพูดจาที่พยายามข่มความตื่นเต้นให้ออกมาอย่างนุ่มนวลและราบรื่น กระทั่งต่อมาอีกไม่ถึงสัปดาห์ ผู้ชมข่าวการให้สัมภาษณ์ของท่านก็ต้องตกใจ ที่พล.อ.ประยุทธ์ท่าน “ตบะแตก” ให้สัมภาษณ์ด้วยเสียงกราดกร้าว ระรัว และใบหน้าถมึงทึง

บางคนบอกว่านี่คือตัวตนจริงๆ ของท่าน ที่ท่านเป็นทหารอาชีพและถูก “บ่มเพาะ” มาในระบบทหารแบบนี้ แต่บางคนก็ว่าท่าน “ประสาทเสีย” ที่ต้องพบกับเรื่องหนักๆ จึงออกอาการ “ม้ากระทืบโรง” เพื่อข่มขวัญข้าศึกศัตรู เหมือนว่ากำลังต้องไปสู้รบกับใครอยู่ชั่วขณะ

ผู้คนจึงเริ่มที่จะอ่านใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าทำไมท่านจึง “เป็นอย่างนั้น” ซึ่งผู้เขียนก็อยากจะร่วมอ่านใจด้วยคนหนึ่ง โดยนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่ผู้เขียนเคยทำงานใกล้ชิด ที่ท่านได้รู้จักนายทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายคน นั่นก็คือท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

ผู้เขียนเคย “คุยเล่นๆ” กับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ว่า ท่านคิดว่าทหารคนไหนที่ท่าน “นับถือ” มากที่สุด (น่าเสียดายที่ท่านมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสมัยของ “ระบอบประยุทธ์” ไม่อย่างงั้นท่านคงจะได้วิจารณ์ “ความเป็นพล.อ.ประยุทธ์” นี้ได้อย่างน่าสนใจ) คำตอบของท่านก็คือ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” ท่านบอกว่าจอมพล ป. เป็นนายทหารที่ “น่ารัก” มีความเป็นสุภาพบุรุษ และมีน้ำใจนักกีฬา

ท่านเคยเป็นทั้งศัตรูและมิตรกับจอมพล ป. ซึ่งก็เป็นไปตามวิถีทางการเมือง เคยร่วมรัฐบาลกับจอมพล ป. เคยเป็นฝ่ายค้าน ในสมัยที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่พอท่านมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ท่านก็วิจารณ์ จอมพล ป.อย่างหนัก แต่พอท่านถูกตำรวจจับ จอมพล ป.ก็ฝากให้ตำรวจดูแลท่านให้ดีๆ แต่เหนืออื่นใดคือเป็นนายทหารที่พูดเพราะ มีแนวคิดที่เป็นประชาธิปไตย อีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นคนรักเพื่อนรักลูกน้อง ซึ่งเป็นวิสัยของทหารโดยทั่วไป

ท่านไม่เคยร่วมงานกับจอมพลสฤษดิ์ จึงไม่ค่อยได้วิพากษ์วิจารณ์ “จอมเผด็จการ” ท่านนี้มากนัก ท่านก็เช่นเดียวกันกับคนไทยจำนวนมากในยุคนั้นที่ชื่นชม “จอมพลขอนแก่น” (ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าว่าจอมพลสฤษดิ์มีความคิดที่จะพัฒนาจังหวัดขอนแก่น ที่เป็นบ้านมารดาของท่าน ให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน และมีข้าราชการบางคนเสนอเปลี่ยนชื่อจังหวัดขอนแก่นเป็น “สฤษดิ์นคร” แต่คนขอนแก่นคัดค้าน ท่านจึงเขียนบทความบอกว่าจอมพลสฤษดิ์น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “จอมพลขอนแก่น” มากกว่า)

ในความเป็นนายทหารที่เด็ดขาดเข้มแข็ง “พูดจริงทำจริง” อีกอย่างหนึ่งจอมพลสฤษด์ก็เป็นผู้ฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรุดโทรมลงไปในยุคคณะราษฎร อันเป็น “อุดมการณ์” ที่ตรงกันกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ จอมพลสฤษดิ์ จึงไม่ถูกวิจารณ์อะไรมากนัก รวมทั้งที่ “จอมพลผ้าขะม้าแดง” (อีกฉายาหนึ่งในความเป็นจอมพลสฤษดิ์อันเนื่องมาจากรสนิยมส่วนตัวในเรื่องกามารมณ์)ก็มีอายุสั้น ถึงอสัญกรรมในอายุเพียง 55 ปี และอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแค่ 4 ปีเศษ ประเด็นที่ทำให้เกิดความ “เบื่อหน่าย” อันนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์จึงยังไม่เกิดขึ้น

ที่จำเป็นจะต้องเล่าถึงนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารท่านอื่น ก่อนที่จะมาเล่าถึง พล.อ.ประยุทธ์ ตามชื่อหัวข้อบทความนี้ ก็เพราะทหารมีวัฒนธรรม “รุ่นพี่รุ่นน้อง” ที่เข้มแข็ง ว่ากันว่านายทหารรุ่นแล้วรุ่นเล่าเขาจะมีการ “ปลูกฝัง” ให้น้องๆ ได้รับ “มรดก” หลายๆ อย่าง เพื่อที่จะทหารจะได้ดูแลกันจาก “รุ่นสู่รุ่น” และด้วยเหตุนี้เองที่ได้ทำให้ทหารต้องอยู่ดูแลบ้านเมือง “รุ่นแล้วรุ่นเล่า” อย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด

ขออนุญาตเล่าเรื่องของนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารตามข้อวิจารณ์ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อีกอีกสัก 2-3 ท่านในสัปดาห์หน้า โดยจะพยายามสรุปอย่างย่นย่อ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้เขียนจะวิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ต่อไปนั้น ได้รับแนวคิดมาจากแนวทางของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ได้ศึกษาไว้นั้นเป็นอย่างมาก

แนวทางที่ว่านั้นช่างน่าหวาดหวั่น เพราะไม่รู้ว่าทหารจะหมดอำนาจไปจากการเมืองไทยเมื่อใด

*******************************

ข่าวล่าสุด

6 ข่าวปลอมประจำสัปดาห์ สุขภาพนำอันดับ 1 ตามด้วยเรื่องกัมพูชา และหนี้นอกระบบ