posttoday

ความในใจของข้าราชการหนุ่มสาว

08 สิงหาคม 2563

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

************************

“โลกใหม่ของพวกเราคือทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ”

ในการสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรหนึ่งของสถาบันพระปกเกล้าที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน ยังมีกลุ่มคนที่น่าสนใจมากๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือข้าราชการ เนื่องจากนักศึกษาในหลักสูตรนี้จำกัดอายุไว้สำหรับผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี และถ้าเป็นข้าราชการก็ต้องมีตำแหน่งในระดับชำนาญการ (คือระดับซี 5 ขึ้นไป หรือถ้าเป็นตำรวจทหารก็ต้องมียศร้อยตำรวจเอก ร้อยเอก เรือเอก และเรืออากาศเอก ) ที่รับราชการมาแล้วอย่างน้อย 5-6 ปี จึงนับเป็นข้าราชการรุ่นหนุ่มสาวที่ยังต้องมีอนาคตก้าวไกล

ข้าราชการที่มาสมัครเกือบทั้งหมดจบการศึกษาระดับปริญญาโท ประมาณ 1ใน 5 จบปริญญาเอก และเกินครึ่งจบการศึกษามาจากต่างประเทศ บ้างก็เป็นนักเรียนทุน และบ้างก็เป็นลูก “ผู้มีอันจะกิน” จึงถือได้ว่าคนเหล่านี้เป็น “ดาวรุ่งพุ่งแรง” ที่กำลังแข่งขันกันไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับบริหารของการปกครองประเทศ และแน่นอนว่าหลายคนที่มาเรียนหลักสูตรนี้ยังใฝ่ฝันที่จะเป็นนักการเมือง เพื่อที่จะมี “อำนาจ” สูงสุดต่อไปอีกด้วย

ผู้เขียนตั้งคำถามกับผู้สมัครหญิงคนหนึ่งว่า มองอาชีพราชการในโลกการเมืองยุคใหม่นี้อย่างไร น่าแปลกใจที่เธอตอบออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนรู้คำถามนี้ล่วงหน้าและเตรียมคำตอบไว้ก่อนแล้ว คำตอบของเธอก็คือ “ก็อาจจะอยู่ยากนะคะ การเมืองยุคใหม่ผู้คนจะดีมานด์มากขึ้น ช่องทางในการเรียกร้องสื่อสารก็หลากหลาย รัฐบาลต้องฉลาด แต่ต้องไม่แกมโกงนะคะ และข้าราชการจะต้องคลุกคลีกับประชาชนในโลกโซเชียลมากขึ้น”

โดยเธอขยายความว่า การเมืองของไทยคงเป็นไปในรูปแบบนี้ได้ไม่นาน คนรุ่นใหม่กำลังเติบโตขึ้นมา จำนวนมากสัมผัสรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองว่าการเมืองการปกครองของไทยยังล้าหลังอยู่มาก พวกเขามีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคต โดยการเอาพวกนักการเมืองและผู้ปกครองที่ “หมดอายุและเน่าเสีย” เหล่านี้ออกไปเสียจากระบบ แล้วสร้างระบบใหม่ที่ “พึงปรารถนา” แต่ก็คงยากเพราะผู้ปกครองและนักการเมืองในแนวคิดเก่านี้ ยังเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในเร็ววันนี้

ผู้สมัครอีกคนหนึ่งเป็นคุณหมอผู้หญิง ให้ความเห็นต่อการเมืองไทยว่า คงยังมองไม่เห็นอนาคตในระยะอันใกล้นี้ เพราะคนไทยยังเอาแต่เรียกร้อง รอคอยแต่ความช่วยเหลือกับรัฐบาล อย่างคนไข้ของคุณหมอในชนบทเจ็บไข้เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมาหาหมอ หลายคนบอกว่ามีสิทธิ์ก็ต้องใช้สิทธิ์ให้เต็มที่ บางคนบอกว่าว่างไร่ว่างนาไม่รู้จะทำอะไรก็เลยมาโรงพยาบาล แบบว่ามาตรวจอะไรโน่นนี้เหมือนได้มาเที่ยว

และได้มาเห็นแสงสีในเมือง (ฮา) คุณหมอเคยถามว่าได้เจอผู้แทนราษฎรที่เลือกเข้าไปอยู่ในสภาหรือไม่ คนไข้ก็ตอบว่าก็เจอบ้างในบางเทศกาลงานบุญ แต่ที่เจอประจำก็คือพวก อบต. และ อสม. พวกนี้นอกจากจะมาแจกข้าวของต่างๆ หรือมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นประจำแล้ว แถมยังมาสรรเสริญท่านผู้แทนฯเหมือนกับว่าเป็นตัวแทนหรือ “ลูกน้อง” ของ ส.ส.นั่นเลย

ข้าราชการที่มาสมัครอีกคนหนึ่งทำงานอยู่ในฝ่ายปกครอง ผู้เขียนถามว่าจะแก้ไขระบบอุปถัมภ์และภาพลักษณ์ความเป็น “ไดโนเสาร์” ของกระทรวงที่เขาสังกัดอยู่นั้นอย่างไร เขาตอบออกมาอย่างฉะฉานว่า “ต้องรอให้คนรุ่นผมขึ้นไปบริหารกระทรวงนี้เสียก่อนซี” เมื่อถามอีกว่า “อ้าวแล้วทำไมไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเสียตอนนี้เลยหละ” เขารีบปรับเปลี่ยนคำพูดในทันทีว่า “ให้ผมได้เรียนในหลักสูตรนี้ก่อน ผมจะได้นำความรู้จากหลักสูตรนี้ไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

เมื่อถามย้ำว่า “แล้วจะเปลี่ยนแปลงยังไง” เขาก็ตอบอย่างคล่องแคล่วว่า “ระบบราชการไทยยังอยู่ในระบบหัวส่ายหางกระดิก หางคือข้าราชการอย่างพวกผมนี้ต้องทำตามที่หัวคือพวกนักการเมืองสั่งการ นักการเมืองก็สั่งเจ้านายผม เจ้านายผมก็มาสั่งผม ดังนั้นมันต้องตัดวงจรอุบาทว์นี้ มันต้องแก้ที่นักการเมือง” ผู้เขียนถามต่อไปว่า “เคยได้ยินคำว่า ประชาชนเป็นอย่างไร นักการเมืองก็เป็นอย่างนั้น หรือไม่” เขารีบตอบสวนมาว่า “อ๋อ งั้นก็แก้ที่ประชาชน ต้องให้การศึกษากับประชาชน บอกให้ประชาชนอย่าไปเลือกนักการเมืองแบบนี้ กระทรวงผมมีการอบรมวิทยากรแม่ไก่ ให้สอนลูกไก่...” ผู้เขียนฟังนิทานเหล่านี้จนเบื่อแล้ว จึงรีบตัดบทว่า “ขอบคุณครับ แล้วรอฟังผลทางเว็บไซต์นะครับ”

ผู้สมัครที่ตอบได้ดีและน่าจะมีอนาคตทางราชการที่ดีต่อไปตามความเห็นของผม ก็คือผู้สมัครที่ตอบว่า “ประเทศนี้ไม่ใช่ของข้าราชการนะครับ ผมไม่ชอบคำว่าประเทศไทยเป็นอำมาตยาธิปไตย ข้าราชการเป็นใหญ่ ประเทศนี้เป็นของคนไทยทุกคน ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตยนะครับ ประชาธิปไตยแปลว่าประชาชนเป็นใหญ่ เพราะประชาชนต้องช่วยกันดูแลประเทศ คนไทยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบดูแล การเมืองไทยที่มันแย่ก็เพราะคนไทยไม่เอาใจใส่ เลือกผู้แทนฯกี่ครั้งๆ ก็เป็นแบบนี้ คนไทยไม่ค่อยรับผิดชอบ เอะอะทหารปฏิวัติก็โทษนักการเมือง พอทหารทำอะไรปฏิรูปการเมืองไม่ได้ ก็ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวาย คนที่เลือกตั้งนักการเมืองเหล่านี้มาต้องช่วยกันรับผิดชอบสิครับ รวมทั้งโลกทั้งใบนี้ด้วย เราเป็นพลเมืองของโลกก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบดูแล อย่ามาโอดครวญว่าการเมืองไทยทำไมไม่พัฒนาเหมือนฝรั่ง ก็เราเอะอะโวยวายอะไรบ้างไหม เวลาที่นักการเมืองเหล่านั้น ทหารเหล่านั้นทำไม่ดี”

“คนไทยนี้อดทนนะครับ ทนทุกข์ได้ยาก ลำบากแค่ไหนก็ยังทนอยู่ได้ แต่นักการเมืองนั้นทนยิ่งกว่า ตรงไหนทนก็คงจะรู้กัน ส่วนทหารก็ทนให้เขาให้เขาด่า แต่ว่าก็ยังอยากทนอยู่” ดูเหมือนเขาจะได้คิดว่าใช้อารมณ์พูดมากไปหน่อย จึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เขียนจึงพูดสรุปว่า

“ฝากบ้านฝากเมืองไว้กับข้าราชการไฟแรงอย่างพวกคุณด้วยนะ แล้วอย่าให้ไฟมอดเสียหละ”

*******************************