posttoday

Enkrateia คืออะไร ?

27 กรกฎาคม 2563

โดย...ไชยันต์ ไชยพร                    

*******************

การปกครองตัวเองคือคนที่สามารถเป็นนายตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือสามารถดูแลปกครองและควบคุมตัวเองให้อยู่ภายใต้ปัญญาความรู้และเหตุผลได้ ในทางปรัชญาการเมืองคลาสสิคบางสำนัก (ต่อไปจะขอใช้คำว่า ปรัชญาการเมืองคลาสสิค เพื่อความกระชับ) เรียกคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวว่า enkrateia (อ่านว่า อิน-ครา-เตีย) แนวคิดเกี่ยวกับ enkrateia นี้ เริ่มต้นจากแนวคิดเรื่องการควบคุมตัวเองและได้พัฒนามาสู่การก่อตัวสำคัญของระบบศีลธรรมของสังคมตะวันตกในเวลาต่อมา

ที่ว่าเป็นระบบศีลธรรม ก็เพราะว่า ในระบบกฎหมายการบังคับใช้กฎหมายเกิดขึ้นได้จากการที่ คนถูกเงื่อนไขบังคับจากภายนอกตัวเราให้เคารพกฎหมาย เงื่อนไขภายนอกนี้ก็คือ บทลงโทษทางกฎหมายและบทลงโทษทางสังคม แต่การเคารพกฎหมายและกฎเกณฑ์ใดๆภายใต้ระบบศีลธรรมนี้เกิดขึ้นจากการที่เราควบคุมตัวเองจากภายในตัวของเรา โดยไม่เกี่ยวกับพลังอำนาจภายนอกตัวเรา อันได้แก่ พลังจากบทลงโทษทางกฎหมายหรือพลังจากบทลงโทษทางสังคมใดๆ

ในช่วงเวลาที่สังคมมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของบ้านเมือง นั่นคือ ผู้คนไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง ทำให้กฎในจิตใจหรือกฎภายในตัวของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะเป็นหลักที่เหลือได้ การหาทางแก้ปัญหาทางศีลธรรม ที่ว่านี้ นั่นคือ หาทางสร้างกฎภายในจิตใจขึ้นมา อันนำมาซึ่งการอุบัติของคำว่า enkrateia ซึ่งมีนัยสื่อถึงการ ควบคุมตัวเองทางศีลธรรม ความรู้จักพอดี และความหนักแน่นมั่นคง  คำว่า enkrateia มีรากมาจากคำคุณศัพท์ enkrates โดยสื่อถึง ผู้ที่มีอำนาจมีความรอบรู้เชี่ยวชาญเหนือสิ่งต่างๆ โดยไม่มีอะไรจะมาท้าทายได้ แต่คำว่า enkrateia ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ สื่อเพียงการมีอำนาจและความรอบรู้ในทางศีลธรรมเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้น enkrateia ยังมีนัยที่สื่อถึงเสรีภาพด้วย แต่เป็นเสรีภาพอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากเสรีภาพตามอุดมคติ-ความคิดสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลต่อสังคมตะวันตกเรื่อยมานับตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส และถ้าเปรียบเทียบอุดมคติของแนวคิดเสรีภาพสมัยใหม่กับอุดมคติของเสรีภาพที่ดำรงอยู่ใน enkrateia ในปรัชญาการเมืองคลาสสิคแล้ว จะเห็นได้ว่าอุดมคติของแนวคิดเสรีภาพสมัยใหม่จะมีความสำ คัญน้อยลงไปถนัด เพราะเสรีภาพในแนวคิดเรื่อง enkrateia นี้ เน้นไปที่เสรีภาพอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ เสรีภาพทางจิตใจในฐานะของพัฒนาการการควบคุมตัวเอง โดยสถาปนาให้เหตุผลเป็นกฎหรืออำนาจ ในการปกครอง (the rule of reason) เหนือความปรารถนา (desires)

และคนที่สามารถควบคุมตัวเองหรือปกครองตนเองด้วยเหตุผลนี้คือ คนชนิดตรงกันข้ามกับคนที่เป็นทาสของตัณหาของตัวเอง นัยยะที่สำคัญยิ่งของ ‘เสรีภาพทางการเมือง’ ภายใต้ enkrateia ในปรัชญาการเมืองคลาสสิคนี้ก็คือ คนที่แม้ว่าจะมีสถานะตามกฎหมายเป็นพลเมืองเสรี แต่ก็กลับเป็น ‘ทาส’ ได้ และแน่นอนว่า ผู้ที่เป็นทาส ตามกฎหมายก็อาจจะเป็น ‘เสรีชน’ หากเขาสามารถควบคุมปกครองจิตใจตัวเขาเองไม่ให้ตกเป็นทาสของอารมณ์ความปรารถนา

ปรัชญาการเมืองคลาสสิคเห็นว่า enkrateia เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใต้ความสามารถในการควบคุมตัวเอง ที่ต้องอาศัยความรู้จักตัวเอง และปรัชญาการเมืองคลาสสิคได้ชี้ให้เห็นว่า ‘ความรู้-เหตุผล’ จะมีพลังอำ นาจในการควบคุมและชี้นำการกระทำ หาก ‘ความรู้-เหตุผล’ ใดไม่มีพลังอำนาจดังกล่าวนี้แล้ว ย่อมหาใช่ความรู้-เหตุผลที่แท้จริงไม่

ด้วยเหตุนี้เอง “ทาสที่กระทำผิดโดยตั้งใจรู้ตัวย่อมดีกว่าคนที่กระทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ” นั่นคือ ทาสที่รู้จักตัวเองและสามารถควบคุมตัวเอง และมี enkrateia ย่อมประเสริฐและมีเสรีภาพกว่าทาสและเสรีชนที่ไม่รู้จักตัวเองและปราศจากซึ่ง enkrateia  และ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า หากคนประเภทนี้ตั้งใจกระทำผิด เขาย่อมมีเหตุผลที่ดีในการเลือกกระทำผิดเพื่อเป้าหมายและความดีที่สำคัญกว่า

ดังนั้น เสรีชนที่ไม่รู้จักตัวเองและปราศจากซึ่ง enkrateia ย่อมเป็นทาสเสียยิ่งกว่า และคนที่ดีที่สุด (the best man) และเป็นคนที่เที่ยงธรรมที่สุดและมีความสุขมากที่สุด คือคนที่สามารถปกครองและควบคุมตัวเขาเองได้

คนเช่นนี้เปรียบได้ดั่งผู้ปกครองสูงสุดหรือกษัตริย์สามารถที่ “ปกครองตัวเองได้” และคนที่เป็นทรราชที่ทำตามอำเภอใจต่อตัวของเขาเองและต่อรัฐ ก็กลับจะเป็นคนที่อยุติธรรมที่สุดและชั่วร้ายที่สุดและทุกข์ทรมานมากที่สุด เพราะจิตใจของเขาตกอยู่ภายใต้ “อารมณ์ทรราช” ของตัวเขาเอง หรืออยู่ในสภาวะไม่สามารถปกครองตัวเองได้

ดังนั้น สำหรับปรัชญาการเมืองคลาสสิค การที่คนเราจะมีเสรีภาพที่แท้จริงได้นั้น จะต้องผ่านการพัฒนาจิตใจและปัญญาความรู้จนสามารถปกครองและควบคุมตัวเองได้ แต่ตกเป็นทาสของอารมณ์และความปรารถนามากกว่าปัญญาและเหตุผล

แต่สำหรับปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ มนุษย์มีเสรีภาพอันสมบูรณ์มาแต่กำเนิดหรืออีกนัยหนึ่งติดตัวมาโดยธรรมชาติ แม้ว่า มนุษย์จะเกิดมาโดยมีพ่อมีแม่  และในภาวะที่เขายังอ่อนแออยู่ จำต้องอาศัยพึ่งพาพ่อแม่ในฐานะที่แข็งแรงกว่าเขา แต่เมื่อเขาสามารถยืนด้วยตัวของเขาเองได้แล้ว การยืนยันสิทธิ์เสรีภาพอันสมบูรณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือเป็นสิทธิ์ตามธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะสิทธิ์เสรีภาพเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์

ดังนั้น ท่านคงต้องใช้เสรีภาพเลือกกันเอาเองว่า เสรีภาพแบบไหนที่เหมาะสมสำหรับตัวท่าน ? สำหรับผู้เขียนเห็นว่า เสรีภาพทั้งสองแนวนี้ต่างมีความเป็นอุดมคติทั้งคู่ เลยลองคิดเล่นๆว่า ขอเลือกทั้งสองแนว โดยผสมผสานพบกันครึ่งทาง !