posttoday

ถอดบทเรียนด้วยสติ

16 กรกฎาคม 2563

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

*******************************

ในขณะที่เรามีข่าวดีเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดไข้หวัดโควิด 19 อย่างได้ผล โดยได้รับความชมจากองค์กร สถาบันของต่างประเทศและจากประชาชนในประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องที่ทำให้คนไทยสับสน ตระหนก จนขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ กลุ่มที่ไม่ชอบรัฐบาลฉวยโอกาสซ้ำเติมสถานการณ์เข้าไปอีก

ก่อนที่ พล.อ.เจมส์ ซี.แมคคอนวิลล์ ผบ.ทบ.สหรัฐ มาเยือนไทย ได้มีการปล่อยข่าวออกมาผ่านสื่อออนไลน์ชนิดที่ใครได้อ่านก็คงรู้สึกหมั่นใส้ ผบ.ทบ.อเมริกันคนนี้ไปตามๆ กัน และพาลมาโกรธ พล.อ.อภิรักษ์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ไทยและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าไปด้วย

เป้าหมายของคนปล่อยข่าวคงไม่ใช่ที่ ผบ.ทบ.สหรัฐ แต่น่าใช้ ผบ.ทบ.สหรัฐเป็นประเด็นหาเรื่องโจมตี ผบ.ทบ.ไทยและนายกรัฐมนตรีไทยมากกว่า แค่นี้ก็พอเดาออกแล้วว่าคนเขียนข่าวบิดเบือนนั้นเป็นพวกไหน

ข่าวที่ปล่อยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ออกมาสรุปว่า ผบ.ทบ.สหรัฐขอยกเว้นข้อกำหนดของ ศบค.แทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่ขอเข้ามาเป็นคณะใหญ่เกินกว่าจำนวนที่ไทยกำหนด ขอยกเว้นการตรวจตามมาตรฐานของไทย ขอยกเว้นโน่นนี่ ใครที่ได้อ่านข่าวนี้ย่อมหงุดหงิด อารมณ์เสียถ้าคนอ่านไม่ทุกคนก็เกือบทุกคนคงมีอารมณ์ความรู้สึกแบบเดียวกัน คือ ชักทนไม่ไหวที่ ผบ.ทบ.สหรัฐมาแสดงอาการใหญ่โต ทำประหนึ่งว่าไทยเป็นประเทศอาณานิคมที่เจ้าอาณานิคมจะทำอะไรก็ได้

นอกจากอ่านเนื้อข่าวแล้ว ลองเปิดไปตรง “คอมเม็นต์” จะพบว่า ร้อยทั้งร้อยที่เข้ามาคอมเมนต์ด่า ผบ.ทบ.สหรัฐ แทบไม่มีชิ้นดี และเสนอแนะด้วยว่า รัฐบาลไม่ควรให้เข้ามาหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขชองไทย หรือถ้าอยากจะมาก็ค่อยเข้ามาหลังสถานการณ์โควิดหมดไปแล้ว

ไม่น่าแปลกใจที่คนไทยจะคอมเม็นต์หรือแสดงความเห็นแบบนี้ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ตอบโต้กับข่าวที่นำเสนอ ทั้งที่ไม่รู้ว่าข่าวนั้นจริงมากน้อยเพียงใด ถ้าใครอ่านข่าวและตั้งสติคิดสักนิดหนึ่งคงมีคำถามขึ้นมาว่า ผบ.ทบ.สหรัฐจะเอาขนาดนี้เชียวหรือ

ถ้าตามข่าวต่อมา จะเห็นประเด็นของคนที่นำเสนอข่าวโดยใช้การตำหนิ ผบ.ทบ.สหรัฐเป็นเป้าหลอก เพื่อโยงไปสู่เป้าจริง คือ นายกรัฐมนตรีและ ผบ.ทบ.ไทย ว่ายอมอเมริกันไปได้อย่างไร

พอข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ก็มีข่าวออกมาจากฝ่ายอเมริกันว่า ผบ.ทบ.สหรัฐไม่เคยตั้งเงื่อนไขตามที่สือไทยลงข่าวแต่อย่างใด คณะที่มาก็มีจำนวนไม่เกิน 10 คนตามเกณท์ของไทย ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของ ศบค. ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถเลื่อนการเยือนออกไปได้ เพราะคณะดังกล่าวมาประชุมที่สิงคโปร์อลู่แล้ว เมื่อเสร็จประชุมก็ขอเยือนไทยซึ่งบินไม่เกินสองชั่วโมงก็ถึง

หลังจากที่มีการปล่อยรูปให้เห็น ผบ.ทบ.สหรัฐกำลังรับการตรวจเชื้อโควิดจากเจ้าหน้าที่ไทย เพื่อยืนยันว่า ผบ.ทบ.สหรํฐและเจ้าหน้าที่อเมริกันในคณะรับการตรวจเชื้อโควิด และปฏิบัติตามมาตรฐานของฝ่ายไทยทุกประการ เรื่องจึงเงียบลงไปได้

คนที่เสพข่าวนี้ช่วงแรกถ้าใช้สติพิจารณาก็น่าจะ “สะดุดใจ” ว่า ผบ.ทบ.สหรํฐกล้าหาญชาญชัยที่จะขอยกเว้นจากระเบียบปฏิบัติของฝ่ายไทยในขณะที่โควิด 19 กำลังระบาดถึงขนาดนี้เชียวหรือ เขาใหญ่โตขนาดไม่แคร์ความรู้สึกของคนไทยเชียวหรือ ยิ่งในช่วงนี้ สหรัฐต้องการเอาไทยเป็นมิตรในการช่วงชิงอำนาจกับจีน เขาไม่น่าที่จะมาขอ “ยกเว้น” ซึ่งจะทำให้คนไทยเกลียดขี้หน้าไปอีก สหรัฐเวลานี้ก็ไม่ใช่ใหญ่โตคับฟ้าจนนึกอยากจะทำอะไรก็ได้ ถ้ามาเมืองไทยแล้วให้คนไทยรักไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งสหรํฐย่อมรู้ว่าฝ่ายไทยไม่มีทางที่จะผ่อนปรนให้ เพราะประชาชนไทยกำลังต่อสู้กับโรคนี้และมีผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

คนเสพข่าวนี้ถ้ามีสติสักหน่อย ก็น่าจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนปล่อยข่าวตั้งแต่แรก บางคนอ้างว่า หากไทยไม่โวย ผบ.ทบ.อเมริกันคงไม่ยอมให้ตรวจ แต่ถ้าเราเป็น ผบ.ทบ.สหรัฐ คงไม่โง่ที่จะกล้าฝืนกฎและความรู้สึกของไทย เพราะงานใหญ่กว่านี้ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะการที่จะเอาไทยเป็นพวกต่อต้านอิทธิพลของจีน

บางคนถึงกับเสนอให้มีการกักตัวคณะ ผบ.ทบ.สหรัฐไว้ 14 วันเพื่อรอดูอาการตามที่ ศบค.กำหนด ซึ่งก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เพราะคณะของ ผบ.ทบ.มาเยือนไทยเพียง 2 วันเท่านั้น ถ้าเขาอยากจะกักตัวเองก็ต้องไปกักที่สหรัฐแทน เอาเพียงว่า ระหว่างอยู่เมืองไทยอย่าไปเที่ยวนอกโปรแกรมที่กำหนดก็แล้วกัน พักอยูที่สถานทูตหรือที่โรงแรมไหนก็อย่าออกไปนอกโรงแรม อยากจะไปไหนก็บอกนายทหารติดต่อของไทย

ช่วงนี้ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาลฉวยโอกาสปล่อยข่าวก่อนเพื่อทำลายคะแนนนิยมของรัฐบาล นี่เป็นอีกครั้งที่เป็น “กรณีศึกษา” ในการเมืองไทย

อย่างไรก็ตาม คนที่มีความเห็นคล้อยตามข่าวเรื่อง ผบ.ทบ.สหรัฐ อาจมีอารมณ์ร่วมมาก่อนที่เกิดอาการ “หมั่นใส้” ทูตอเมริกันคนใหม่ ที่เวลาเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทย รองนายกรัฐมนตรีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ โดยไม่ใช้ผ้าอนามัยปิดปากจมูกในขณะที่ผู้นำและคณะฝ่ายไทยทุกคนใส่ผ้าปิดปากจมูกกันทุกคน

นอกจากนั้น ในงานวันชาติอเมริกันที่บุคคลสำคัญในรัฐบาลไทยและในวงการต่าง ๆ ได้รับเชิญไปร่วมด้วย ทูตอเมริกันก็ไม่ใช้ผ้าอนามัยปิดจมูกปิดปาก ทำให้ผู้รับเชิญคนไทย รวมทั้งรัฐมนตรีสาธารณะสุข ต้องเอาผ้าปิดจมูกปากออก อาจเพราะเกรงใจเจ้าภาพซึ่งเป็นอุปนิสัยของคนไทยที่มักเกรงใจเจ้าของบ้าน

จึงโดนคนไทยวิจารณ์เละ จนรัฐมนตรีต้องออกมาขอโทษสังคม

วิธีคิดของคนอเมริกันกับคนไทยในเรื่องนี้อาจแตกต่างกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งไม่เคยใส่อรนามัยผ้าปิดปากจมูก เพิ่งจะมาใส่เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ท่านทูตอเมริกันอาจคิดแบบเจ้านายเขา เมื่อประธานาธิบดีอเมริกันไม่ใส่ ทูตก็ไม่ควรใส่ แต่ทูตคงลืมสุภาษิตที่ว่า “ เมื่ออยู่ในกรุงโรม ต้องทำเหมือนกับที่คนโรมันทำ ”

ก่อนโควิด 19 ระบาดหนัก ฝรั่งทั้งยุโรปและอเมริกันมีทัศนะที่ว่า คนที่ใส่ผ้าอนามัยปิดปากจมูกคือคนป่วย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ป่วยก็ไม่ต้องใส่ จนกระทั่งโควิด 19 ระบาดอย่างกว้างขวาง ทัศนะนี้จึงปรับเปลี่ยนไปบ้าง เพราะทุกคนก็กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น

เรื่อง ผบ.ทบ.สหรัฐยังไม่ทันหายไปจากความทรงจำ ล่าสุด มีกรณีที่ทหารอียิปต์ที่แวะเมืองไทยบนเส้นทางบินไปกลับจีน แอบไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า และลูกของทูตซูดานประจำไทยที่เพิ่งเดินทางมาไทยติดไข้หวัดโควิด 19 สองเรื่องนี้ถือว่าเป็นประเด็นที่คนไทยพูดกันมากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ทำความตระหนกมากพอควรให้กับคนไทย แต่เราต้องใช้สติพิจารณามากกว่าอารมณ์

การที่เครื่องบินทหารต่างชาติขอแวะพักไทยนั้น เป็นเรื่องปกติและเป็น “พันธะสัญญาทางทหาร” สถานทูตอียิปต์ได้ทำเรื่องขออนุมัติผ่านกระทรวงการต่างประเทศไทย ๆ ได้ส่งเรื่องไปยังกองทัพอากาศซึ่งไม่ขัดข้อง เมื่อเครื่องบินทหารอียิปต์แวะที่ไทยบนเส้นทางไปกลับจีน นักบิน ลูกเรือ อียิปต์ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบไข้หวัดโควิด 19 ที่สนามบิน ตามมาตรฐาน นักบินและลูกเรือได้ไปพัก ณ สถานที่พักที่จองไว้แล้ว ตามระเบียบ หลังจากตรวจคัดกรองหาเชื้อที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว ลูกเรือทุกคนต้อง “กักตัวเอง” ในที่พักก่อนเดิน่ทางต่อในวันรุ่งขึ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีทหารอียิปต์กลุ่มหนึ่งแอบไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าที่จังหวัดระยอง และหนึ่งในนั้นถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด 19 ทำให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน และทำความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างร้ายแรงให้กับจังหวัดระยองซึ่งเคยมีชื่อว่าเป็นจังหวัดเดียวที่ปลอดโควิด 19 หากจะมีคนป่วยบ้างก็มีน้อยมาก

มืองไทยในขณะนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติเพราะทางการไทยกำลังเข้มงวดจำกัดการแพร่กระจายของโควิด 19 โดยเฉพาะกับคนที่มาจากต่างประเทศ ในกรณีนี้ ลูกเรือจะต้องกักตัวอยู่ในที่พัก ห้ามออกไปเที่ยวไหน สถานทูตอียิปต์ ต้องชี้แจง ทำความเข้าใจ และขอให้พลเมืองของตนทำตามกฎระเบียบของประเทศเจ้าบ้านคือไทยอยางเคร่งครัด เมื่อเกิดเรื่องขึ้น สถานทูตอียิปต์ก็ต้องรับผิดชอบโดยตรง

คนไทยมีสิทธิที่จะโกรธ มีสิทธิที่จะไม่พอใจ แต่มีคนไทยบางส่วนถือโอกาสไปด่า ผบ.ทบ.ไทย และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีไทยลาออก อันนี้โยงไปเรื่องการเมืองไปแล้ว

ท่านทูตอียิปต์ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอียิปต์ ได้ออกมาขอโทษและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นการแสดงออกอย่างจริงใจต่อการกระทำอันไม่เหมาะสมของลูกเรืออียิปต์ และท่านคงไม่รู้จะหาเหตุผลมาโต้แย้งเมื่อกองทัพไทยระงับ 8 เที่ยวบินที่เหลือที่เครื่องบินทหารขอบินผ่านไทยไปกลับจีนที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว

ทางการจังหวัดระยองก็ต้องหาทางฟื้นฟูความเชื่อมั่นโดยเร็ว โดยเฉพาะการนำภาพจากกล้องวงจรปิดภายในห้าง ซึ่งตรวจพบภายหลังว่า ผู้ติดเชื้อไปในห้างจริง แต่ไปเดินดูสินค้า ไม่ได้ไปซื้อของ ดื่มกิน หรืออยู่ในกลุ่มชน และยังไม่พบการแพร่เชื้อในพื้นที่ดังกล่าว

กรณี เจ้าหน้าที่การทูตซูดาน ซึ่งปฏิบัติงานที่สถานทูตใน กทม. ที่ไปรับครอบครัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ และได้รับการตรวจหาเชื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยใช้เวลา 4-6 ชั่วโมงกว่าจะรู้ผล จึงให้ทูตและครอบครัวเดินทางออกจากสนามบินมาก่อน นักการทูตซูดานซึ่งพักที่คอนโดแห่งหนึ่ง พาครอบครัวมาพัก ณ ที่นั้นโดยไม่ได้ออกไปที่ใด เมื่อได้รับแจ้งว่าบุตรสาวติดเชื้อ บิดาจึงติดต่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมารับเด็กไปโรงพยาบาลทันที ต่อมา ทูตได้นำครอบครัวไปกักตัวไว้ที่สถานทูต

กรณีนักการทูตซูดานถือว่ามีการปฏิบัติตามกรอบที่วางไว้ เมื่อพบว่าบุตรสาวติดเชื้อก็นำตัวไปรักษาโดยเร็ว และกักตัวครอบครัวไว้ที่สถานทูต ทำทุกอย่างตาม “พันธะทางการทูต” ที่มีต่อกัน ซึ่งแตกต่างจากกรณีของลูกเรืออียิปต์

คนไทยต้องใช้ “สติ” ในการพิจารณาไตร่ครองเหตุผล อย่าให่ความกลัวมีอิทธิพลเหนือสติ อย่า “ตระหนก” จนเกินเหตุ แต่ให้ “ตระหนัก” และไม่ “หลวมตัว” ตกเป็นเหยื่อของคนที่ไม่หวังดีที่ต้องการปลุกปั่นให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย อย่าไปทำแบบคนบางพวกที่พอมีเรื่องราวอะไรขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก เรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ก็ด่า พล.อ.ประยุทธ์ ไว้ก่อน เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก แม้แต่ น.พ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ขวัญใจแม่ยกทั้งหลาย ยังโดนหางเลขเข้าไปด้วย ในฐานะโฆษก ศบค. ที่สามารถสื่อสารกับประชาชนจนทำให้รัฐบาลชุดนี้ดูดีขึ้น

เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ขบวนการทั้งในและนอกประเทศที่เคลื่อนไหวมากขึ้นผิดสังเกตุ สอดรับกันอย่างเป็นระบบ บ่อนทำลายสถาบันสูงสุด รัฐบาลประยุทธ์ กองทัพ มีการปลุกปั่น ปล่อยข่าว ออกมาเรื่อย ๆ คนไทยนอกจากไม่ตกเป็น “เหยื่อ” ของกลุ่มที่ไม่หวังดีเหล่านี้ แต่ต้องพิจารณาข่าวที่ได้รับโดยเฉพาะข่าวที่ผ่านสื่อโซเชียลที่เกิดขึ้นเร็วและหายไปเร็ว อีกทั้งจะมีข่าวใหม่ออกมาเสมอ ให้ประชาชนเสพข่าวจนแทบไม่มีเวลาคิด

สิ่งที่เกิดขึ้นแม้เป็นเรื่องที่เราไม่ปรารถนาจะให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราก็ใช้ศึกษาเป็น “บทเรียน” เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราต้องไมอย่า “ตระหนก” จนเกินเหตุ แต่ให้ “ตระหนัก” และใช้ “สติ” และ “ปัญญา” ในการางแก้ไข ป้องกันปัญหา เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งจากในและนอกประเทศ รวมทั้งเตรียมตัวรับสถานการณ์โลกหลังไข้หวัดโควิด 19 ต่อไป

**************************************