posttoday

โลกแพ้ คนแพ้

18 มิถุนายน 2563

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

**************************

ผู้เขียนได้เขียนบทความเรื่อง “สงครามข่าวสาร ระหว่างจีนกับสหรัฐ”ที่ใช้กรณีไข้หวัดโควิด 19 มาบลั๊ฟกันไปมา วันนี้ มีเรื่องราวเพิ่มเติมที่อยากเอามาเขียนให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเพิ่มเติม ซึ่งสรุปได้ว่า สงครามข่าวสารระหว่างสองอภิมหาอำนาจในเรื่องนี้ยังไม่หยุด และคงมีข้อมูลใหม่ๆ ออกมาบลั๊ฟกันเรื่อย ๆ

เมื่อฟังข้อมูลจากจีนและสหรัฐ ทำให้สงสัยว่า ข่าวนั้นเชื่อได้หรือไม่ เพราะแต่ละฝ่ายก็ปล่อยข่าวที่เป็นประโยชน์กับตน ฟังแล้วต้องตั้งสติและวิเคราะห์ให้ดี ๆ วันนี้ลองมาฟังหรืออ่านข่าวจากบุคคลที่สามบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นกลางและเชื่อถือได้

นักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์ชื่อ เบอร์เกอร์ โซเรสเซน เปิดเผยผลงานวิจัยที่ระบุว่า เชือไวรัส SARS-CoV-2 หรือโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ที่องค์การอนามัยโลกให้เรียกว่า “โควิด 19” นั้น เป็นไวรัสที่มีการพัฒนาจากห้องทดลอง โดยชี้ว่า ตั้งแต่มีการค้นพบไวรัสชนิดนี่ โปรตีนของไวรัสไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง แต่ตัวที่พบใหม่ที่เรียกว่า “โควิด 19” นั้น โปรตีนที่เป็นแขนของไวรัสโคโรน่าตัวเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

ทั้งนี้โซเรนเซนเปิดเผยด้วยว่า ทั้งสหรัฐและจีนต่างศึกษาวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่ามานานหลายปี โดยเฉพาะการศึกษาถึงองค์ประกอบของไวรัสในการแพร่ระบาด เพื่อทำความเข้าใจถึงการระบาดให้มากขึ้น

ด้าน เซอร์ ริชาร์ด เดียร์เลิฟ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัย เอ็ม.ไอ.6 (หน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ) ซึ่งสนับสนุนงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์ แสดงความห่วงใยว่า เชื้อที่วิจัยในห้องปฏิบัติการหลุดรอดออกมานอกห้องได้อย่างไร ข้อบกพร่องนี้ถือว่าเป็น “ ความล้มเหลวในด้านการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ ” จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อไวรัสตัดแต่งพันธุกรรมตัวนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก

นอกจากยืนยันว่า โควิด 19 มาจากฝีมือมนุษย์แล้ว ยังมีการระบุแหล่งที่มาด้วยว่า มาจากห้องแล็บไวรัส พี 3 รัฐคาโรไลน่าเหนือของสหรัฐ โดยอ้าง นายเกร็ก รูบินี ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองของอเมริกาที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ของอเมริกาใต้

นายเกร็กเปิดเผยว่า ไวรัสโควิด 19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ โครงการนี้ควบคุมโดย ศาสตราจารย์ราล์ฟ บาร์ริก ซึ่งทดลองในห้องแล็บ บีเอสแอล-3 ในรัฐคาโรไลน่าเหนือ และส่งไปแพร่ระบาดในประเทศจีน แต่ย้อนกลับมาเล่นงานอเมริกาเอง

ข่าวกล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ นายเกร็ก ได้ทวีตข้อความถามประธานาธิบดีทรัมป์ว่า เหตุใดจึงไม่บอกประชาชนอเมริกาว่า ไวรัสผลิตจากอเมริกา ทำไมไม่อธิบายให้ชัดเจนว่า ตัวไวรัสเองแท้จริงคืออาวุธชีวภาพ

ข่าวนี้ได้อ้างว่า ศาสตราจารย์ลุค มองตานิเยร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเนื่องจากเป็นผู้ค้นพบไวรัส เอช.ไอ.วี. ได้เปิดเผยกับนักข่าวฝรั่งเศสเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า โควิด 19 ไม่ได้มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล โดยนำเชื้อไวรัสมาจากค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อ เอช.ไอ.วี เข้าไปด้วย เขามองว่า นี่คือการวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก เชื้อนี้เป็นอาวุธชีวภาพที่มาจากการตัดต่อพันธุกรรมโดยฝีมือมนุษย์

รายงานกล่าวต่อไปว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามหาแหล่งที่มาของเชื้อไวรัส โดยนักวิทยาศาสตร์อินเดียค้นพว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่มีเชื้อ เอช.ไอ.วี แทรกอยู่ด้วย ( ซึ่งน่าจะเป็นจริงเพราะมีข่าวว่า แพทย์ไทยที่โรงพยาบาลราชวิถีใช้ยาผสมระหว่างยารักษา เอช.ไอ.วี กับยารักษามาเลเรีย ฉีดให้คนไข้โควิด 19 และคนไข้หายจากอาการป่วยเป็นรายแรกๆของไทย)

มีข่าวเปิดเผยด้วยว่า ในสหรัฐ มีคนป่วยด้วยไข้หวัดโควิด 19 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม – กันยายน 2562 ก่อนที่จะเกิดเคสแรกที่เมืองอูฮั่นในเดือนธันวาคม 2562 แสดงว่า โควิด 19 เกิดขึ้นที่สหรัฐก่อน ทำให้ข้อกล่าวหาของจีนว่าสหรัฐได้คิดค้นและแอบส่งเชื้อไว้รัสไปแพร่ในจีนมีน้ำหนักมากขึ้น มีข่าวเช่นเดียวกันว่า เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2563 นักวิทยาศาสตร์อเมริกันได้พบเชื้อไวรัสโควิด 19 จากผู้ป่วยรายหนึ่งในรัฐวอชิงตัน พบว่า วิวัฒนาการของมันมียาวนานกว่าครึ่งปีมาแล้ว

โลกรับรู้ว่า อูฮั่นเป็นแหล่งที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด 19 เป็นครั้งแรก แต่พอศึกษาให้ลึกซึ้งลงไปแล้ว หลายประเทศเริ่มเบนความสงสัยมาที่อเมริกา รายงานบอกด้วยว่า ญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ป่วยที่ยืนยันว่ามีแหล่งที่มาจากสหรัฐทั้งสิ้น แม้แต่นายโรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐยอมรับว่า ผู้ป่วยที่ตายจากไข้หวัดใหญ่ในเดือนกันยายน 2562 มีอยู่ไม่น้อยที่ตายเพราะเชื้อไวรัสโควิด 19 นั่นแสดงว่า โควิด 19 ได้แพร่ระบาดที่สหรัฐตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ก่อนการแพร่ระบาดที่เมืองอูฮั่น ประเทศจีนในเดือนธันวาคม 2562

เมื่อปกปิดความจริงไม่ได้ สหรัฐจึงต้องทำให้โลกเข้าใจว่า มีการระบาดในอูฮั่นก่อนที่จะระบาดในสหรัฐ ล่าสุด มีการเผยแพร่รายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งตีพิมพ์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2563 ว่า ไวรัสโควิด 19 ระบาดในเมืองอูฮั่นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 ไม่ใช่ในเดือนธันวาคม 2562 ดังที่ทราบกัน อย่างไรก็ดี ผลงานวิจัยนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านข้อมูลและทฤษฎีจากผู้เชี่ยวชาญ

คำถามคือ ฮาร์วาร์ดได้ข้อมูลนี้มาอย่างไร มีการเปิดเผยว่า งานวิจัยชิ้นนี้มาจากการเฝ้าตรวจดูภาพถ่ายทางดาวเทียม พบว่า มีการจอดรถบริเวณโรงพยาบาล 6 แห่งในเมืองอูฮั่นเพิมขึ้น มีการค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต บนเว็บไซต์ “ไป่ตู้” ที่คนจีนนิยมใช้ ในหัวข้อ “ไอ” และ “ท้องร่วง” ซึ่งเป็นอาการอย่างหนึ่งของผู้ป่วยไข้หวัดโควิด 19 เพิ่มขึ้นด้วย แต่ไปตู่บอกว่ามีคนหาคำว่า “ท้องร่วง” น้อยลง แต่ บี.บี.ซี.ตรวจพบว่า ช่วงนั้น มีคนค้นหาคำว่า “ไข้” และ “ไอ” เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ค้นหาคำว่า “อาการหายใจลำบาก” น้อยลง บี.บี.ซี.สรุปว่า การใช้ข้อมูลดังกล่าวนำมายืนยันในการวิจัยยังไม่ได้ เพราะยังมีจุดอ่อนอีกหลายอย่าง

ผู้วิจัยยอมรับว่า แม้ข้อมูลข้างต้นยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเกี่ยวข้องกับไข้หวัดโควิด 19 ในเมืองอูฮั่น แต่ก็หวังว่า ต่อไป อาจมีรายงานวิจัยอื่นๆ ตามมาที่สนับสนุนการวิจัยครั้งนี้ของฮาร์วาร์ด

พอฮาร์วาร์ดเผยแพร่ข่าวนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รีบทวีตเผยแพร่ซ้ำข้อความลงในทวิตเตอร์ทันที เป็นการ “บลั๊ฟ” จีนไปในตัว ส่วนสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ก็เล่นข่าวนี้แล้วเช่นกัน โดยมีคนดูหลายหมื่นคน

จนถึงขณะนี้ พอสรุปได้แล้วว่า เชื้อไวรัสโควิด 19 เป็นการตกแต่งพันธุกรรมด้วยฝีมือมนุษย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในสงครามชีวภาพ หลายคนอยากรู้ว่า ต้นกำเนิดของไวรัสร้ายแรงตัวนี้เกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ ใครเป็นคนสร้างอาวุธชีวภาพร้ายแรงตัวนี้

เวลานี้ จีนถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ร้ายของโลก” เนื่องจากมีการเปิดเผยทั่วไปว่า เกิดการแพร่ระบาดครั้งแรกที่เมืองอูฮั่น ประเทศจีน และแพร่เชื้อไปเกือบทุกประเทศในโลก จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2563 มีคนติดเชื้อทั่วโลก 213 ประทศรวม 8 ล้านคน ตาย 4.3 แสนคน รักษาหาย 4.1 ล้านคน ยังไม่รู้ว่าคนในโลกจะติดเชื้อและตายอีกเท่าไร เพราะยังไม่มีวัคซีนที่จะใช้กับคนเพื่อ “ป้องกัน” โรคร้ายนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาเป็นปี ๆ ในช่วงที่รอวัคซีน คงมีคนป่วยคนตายเพิ่มขึ้นเป็นล้านคน

นักวิทยาศาสตร์จีนเป็นคนแรกที่ออกมาเปิดโปงว่า เชื้อไวรัสตัวนี้ซึ่งเริ่มแพร่กระจายที่เมืองอูฮั่นนั่น มีการตัดต่อพันธุกรรมใน 4 จุดด้วยกันซี่งทำให้เชื้อรุนแรงขึ้น ในเวลาต่อๆ มา ได้มีนักวิทยาศาสตร์ประเทศอื่นยอมรับมากขึ้นว่า เชื้อไวรัสโควิ 19 มีการตัดต่อพันธุกรรมจริง

คำถามคือ นักวิทยาศาสตร์ชาติไหนที่เล่นสกปรกสัปดนเช่นนี้ เป็นเพราะความซุกซนที่อยากค้นคว้าไปเรื่อย ๆ หรือมีจุดประสงค์อื่น

สหรัฐและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกชี้หน้าจีนว่าเป็นต้นตอของการแพร่กระจายเชื้อโรค (เรื่องนี้จีนพูดไม่ออก) จีนยอมรับว่าไวรัสโควิด 19 เกิดขึ้นที่เมืองอูฮั่นจริง และจีนรับผิดชอบที่จะไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังที่อื่นด้วยการปิดเมืองทันที แต่ก็ตั้งคำถามกลับไปทำให้โลกสงสัยว่า เชื้อนี้เกิดที่จีนหรือมาจากที่อื่น มีคนแอบตัดต่อพันธุกรรมเขื้อนี้และแอบเอามาปล่อยในจีนเพื่อบ่อนทำลายจีน

พร้อมกับเปิดเผยข้อมูลย้อนกลับไปว่า มีการวิจัยว่าด้วยเชื้อไวรัสชนิดใหม่ในสหรัฐมาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2562 ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป อีกมีการค้นพบผู้ป่วยด้วยเชื้อไวรัสตัวนี้ในสหรัฐตั้งแต่ก่อนมีผู้ป่วยเคสแรกในเมืองอูฮั่น ซึ่งแพทย์อเมริกันที่รักษาผู้ป่วยยอมรับว่าเป็นเชื้อตัวเดียวกัน จีนกล่าวหาต่อไปว่า สหรัฐส่งทหารอเมริกัน 5 คน ที่ถูกฉีดยาเชื้อตัวนี้ มาแข่งกีฬาทหารโลกที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่เมืองอูฮั่น เพื่อให้มาแพร่เชื้อ (โดยทหารเหล่านั้นอาจไม่รู้ตัว) และทหารกลุ่มนี้ชอบไปที่ตลาดซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อครั้งแรก เมื่อเกิดอาการรุนแรง สหรัฐส่งเครื่องบินมารับทหารอเมริกันที่ป่วย 5 คนนั้นกลับประเทศทันที

นัยหนึ่ง จีนกล่าวหาว่า สหรัฐตัดต่อพันธุกรรมเชื้อนี้ ให้รุนแรงและรักษายากมากขึ้นและแอบนำมาปล่อยที่จีน ส่วนสหรัฐกล่าวหาว่า จีนวิจัยเชื้อนี้ในห้องแล็บเมืองอูฮั่นและเชื้อหลุดรอดออกมาโดยประมาท

จากนั้น ต่างฝ่ายต่างก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันหลักฐานของตนกล่าวหาอีกฝายหนึ่ง แต่ผลที่เกิดขึ้น ปรากฏว่ามันระบาดไปทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐด้วย จีนสามารถควบคุมปัญหาได้ในเวลาเพียงหกเดือน แต่สหรัฐกลับแก้ปัญหาไม่ได้ จนคนอเมริกันติดเชื้อเป็นล้านคน และตายไปแล้วเป็นแสนคน จนมีการขยายผลไปในประเด็นระบอบการปกครองว่ามีส่วนทำให้การแก้ไขปัญหานี้หรือไม่อย่างไร กล่าวคือ ระบอบการปกครองของจีนแก้ไขปัญหาในยามฉุกเฉินได้ดีกว่าระบอบประชาธิปไตยอเมริกัน

มีการพูดถึงเรื่อง “สงครามเชื้อโรค” มากขึ้น เพราะรุนแรงกว่า แพร่กระจายได้ง่ายกว่า รักษาได้ยากกว่า เชื้อโรคถูกใช้เป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการขัดขวางการพัฒนา บ่อนทำลายหรือทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอได้ง่ายกว่า โดยไม่ต้องเปิดสงครามระหว่างประเทศที่อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สามและเป็นสงครามครั้งสุดทายเพราะโลกพินาศจากอาวุธนิวเคลีย สงครามเชื้อโรคเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลงได้โดยไม่ต้องรบกัน

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า สหรัฐวิตกต่อสถานะมหาอำนาจโลกอันดับหนึ่งของตนกำลังถูกจีนท้าทายในแทบทุกด้าน ขณะที่สหรัฐมัวแต่วุ่นกับสงครามก่อการร้ายในบ้านตัวองและในตะวันออกกลาง จีนได้พัฒนาตนเองจนก้าวมาหายใจรดต้นคอสหรัฐแล้ว สหรัฐไม่มีทางที่จะยอมให้จีน (หรือประเทศใด) ขึ้นมาเป็นแชมป์โลกแทนตนได้ แต่ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ จีนคงแซงตนเป็นมหาอำนาจโลกอันดับหนึ่งแทนภายในเวลาไม่นานนัก

เพราะฉะนั้น สหรัฐจึงต้องใช้แม่ไม้มวยไทย “เตะตัดขา” จีนให้อยู่ แต่ปรากฎว่าคนอเมริกันติดเชื้อ 2.16 ล้านคน และตายไปแล้ว 1.17 แสนคน คนอเมริกันคงจะตายและติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก ส่วนจีนคุมการระบาดครั้งแรกได้ โดยมีคนติดเชื้อ 83181 คน และตาย 4,634 คน (ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2563)

การบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคร้ายกลายเป็นเครื่องสะท้อนความสามารถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง แห่งจีน และทดสอบระบอบการปกครองของสองประเทศในการแก้ปัญหาขนาดใหญ่ สีจ้นผิง ยอมรับว่า โควิด 19 เป็น “ ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณะสุขครั้งใหญ่ที่สุด” ของจีนในรอบ 70 ปี ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐยังทำตัวไม่รู้สึกกับการติดเชื้อและเสียขีวิตของชาวอเมริกันที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทรัมป์คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำอย่างไรจะเอาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่สองในปลายปีนี้ให้ได้

หากมีการทำสงครามชีวิภาพเกิดขึ้นจริง คนที่เริ่มต้นในสงครามชีวภาพครั้งนี้ ไม่เพียงทำร้ายคู่แข่งเท่านั้น แต่ทำให้โลกทั้งใบปั่นป่วนไปหมด ทุกประเทศได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน ไม่มีประเทศใดเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าจะเป็นสหรํฐหรือจีน แต่ทุกประเทศแพ้หมด ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวเองครั้งใหญ่เพื่อการอยู่รอด

สุดท้าย มนุษย์ก็แพ้เชื้อโรคที่มนุษย์สร้างขึ้นมา