posttoday

ความจริง + ความเท็จ = ความจริงใหม่

21 พฤษภาคม 2563

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

****************************

เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนที่มีวันสำคัญและวันครบรอบหลายเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่ (1) วันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันครบรอบพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ 10 (ก่อนหน้านั้น 5 พฤษภาคม เป็นวันฉัตรมงคลในหลวงรัชกาลที่ 9) (2) ครบรอบเหตุการณ์พฤษทมิฬ ปี 2535 (3) ครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์จลาจลที่ยุติลงเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 (4) ครบรอบปีที่ คสช.นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557

ส่วนวันที่ 12 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันสากลของพยาบาลทั่วโลก หรือ “นางฟ้าชุดขาว” ที่มีบทบาทสำคัญเคียงข้างแพทย์ในการต่อสู้กับมหันตภัยร้าย คือ ไข้หวัดโควิด 19 นั้น ไม่มีใครพูดถึงเลย ไม่มีใครหยิบยกมาปลุกระดมเลย

ส่วนในเดือนมิถุนายน มีวันครบรอบที่สำคัญคือ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นปฏิวัติเปลี่ยนระบอบการปกครอง เดือนพฤษภาคม เป็นการสร้างกระแสเพื่อให้สูงสุดในเดือนมิถุนายน 2563 ที่เสมือนกับเป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตยในไทย

จะเห็นได้ว่าเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงมิถุนายน เป็นเดือนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะทหาร และการเมืองของไทย โดยมีประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้องหรือตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ มีการดึงเอาเหตุการณ์ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยรัฐบาลต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ เช่น กรณี “ถีบลงเขา เผาในถัง” เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 เข้ามาด้วยพัวพันด้วย

วัตถุประสงค์และเป้าหมายของคนคณะนี้ต้องการให้คนหนุ่มสาวรับรู้ว่าทหารเลว ทหารชั่ว ทหารทำร้ายประชาชน ทหารยึดครองอำนาจ สถาบันกษัตริย์อยู่ได้เพราะทหาร เป็นที่น่าสังเกตว่า เพราะฉะนั้น จึงใช้ช่วงเวลานี้ที่มีวันครบรอบเหตุการณ์บ่อนแซะสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหารไปพร้อมกัน

กลุ่มการเมืองเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ใช้ประเด็นเหล่านี้มาเคลื่อนไหวเพื่อ “หาความจริง” นั้น อ้างว่าต้องการให้คนหนุ่มสาวที่เกิดไม่ทันได้รู้เรื่องสิ่งที่พวกตนต้องการให้รู้โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เป้าหมายคือปลุกระดมคนหนุ่มสาวให้ “ลุกขึ้นสู้”

อีกด้านหนึ่ง มีความพยายามทั้งในประเทศและนอกประเทศเพื่อลดความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงนี้ นายแอนดรู แมคเกรเกอร์ อดีตผู้สื่อข่าว บี.บี.ซี.ประจำไทย ซึ่งปัจจุบันทำงานเป็นนักข่าวอิสระในอังกฤษ และเขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยตลอดมา ได้โหมเผยแพร่ข้อมูลทางลบต่อสถาบันกษัตริย์ไทยมากขึ้นผิดปกติ และมีการเผยแพร่ต่อในสื่อบางแห่งในยุโรป มีคนไทยลี้ภัยในต่างแดนและเจอคดี ม.112 อีกคนสอดประสานรับ

ในขณะที่ในประเทศ นักการเมืองบางรายได้ใช้วิธีหลีกเลี่ยงกฎหมายไทยโดยอ้างข้อมูลทางวิชาการของฝรั่งเศส หยิบยกบางบริบทที่มีการพักสถานะของกษัตริย์ และการยกเลิกรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสบางมาตราในเรื่องสถานะของกษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะ ละเมิดมิได้ เพื่อให้ส่งผลมายังความรับรู้ของคนไทย

คนที่ทำไม่ได้ปกปิดเจตนาที่แท้จริงในการ “เปิดหน้าชน” กับสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหาร โดยมี คนหนุ่มสาวเป็นเครื่องมือ มีการบิดเบือนข้อมูลเพื่อต้องการให้คนหนุ่มสาวมองว่าสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหารไปในทางลบ หากลดความน่าเชื่อถือของสถาบันทหารได้ ก็เท่ากับกัดกร่อนหนึ่งเสาหลักที่ค้ำชูสถาบันกษัตริย์ได้แล้วปลุกระดมประชาชนให้ลุกขึ้นมาปฏิเสธสถานะของสถาบันกษัตริย์ในปัจจุบัน

สิ่งที่ทำให้คนตื่นเต้นนิดหน่อยก็คือ การยิงแสงเลเซอร์ “#ตามหาความจริง” ซึ่งอาจเป็น “นิว นอร์มัล” สำหรับการเมืองในช่วงโควิด 19 ที่เอาคนออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะมี พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และคนกลัวติดหวัดตาย อย่างไรก็ดี แสงเลเซอร์ก็ถูกกระแสของ “ตู้ปันสุข” กลบจนหมด ซ้ำยังถูกสังคมตั้งฉายาใหม่ว่าเป็น “แสงปันบาป” บ้าง “แสงแห่งความชั่วร้าย” บ้าง แต่ถ้าหาตัวบทกฎหมายมาปรามไว้ไม่ได้ อาจมีการฉายแสงเลเซอร์กันอย่างสนุกสนานจากทุกฝ่าย เพราะเป็นวิธีใหม่และง่ายในการนำมาขยายผลทางสื่อดิจิทัล จนเป็นวิถีชีวิตใหม่ของการเมืองไทย

“การตามหาความจริง” เป็นเรื่องที่ดี และคงไม่มีใครปฏิเสธการตามหาความจริง แต่ความจริงต้องเป็นความจริง ไม่ใช่ความจริงที่ถูกบิดเบือน เสริมแต่หรือเป็นความจริงที่ฝ่ายตนต้องการ สำหรับความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์พฤษภา 2553 แทบไม่ต้องรื้อฟื้นอีก เพราะความจริงได้ข้อยุติแล้ว เพียงแต่ไม่ถูกใจคนบางพวกเท่านั้น ที่ต้องการสร้าง “ความจริงชุดใหม่” ขึ้นมา เป็นการ “เอาของเก่า มาเล่าใหม่ ด้วยวาทกรรมใหม่ โดยคนกลุ่มใหม่” ดังที่แกนนำบางคนประกาศว่า “ด้วยความจริงเก่า แต่ผลลัพท์จะไม่เหมือนเดิม” นั่นก็คือ เขียนผลลัพท์ที่ตนต้องการไว้ก่อน แล้วไปบิดเบือน พลิกแพงความจริงบางประการให้ข้ากับผลลัพท์ที่ตนต้องการ และบอกว่านี่แหละคือความจริง

ปีนี้ คุณถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา) ซึ่งอยู่กับเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2553 ตั้งแต่แรกจนจบ ได้ออกมาเตือนสติคนที่พยายามจะสร้างความจริงชุดใหม่ขึ้นมา ใครที่ยังสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จาก พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) บก.กองทัพไทย ที่รู้เรื่องดี หรือจะถาม คุณสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภาหลายสมัยจนถึงสมัยปัจจุบันซึ่งเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน ที่รู้เรื่องคดีเผาเมืองปี 2553 ดีที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย

ถ้าหากยังไม่เชื่อตัวบุคคล ขอแนะนำให้ไปอ่านรายงานของ “คณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งมี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน รายละเอียดเบื้องหน้าเบื้องหลัง ผู้เกี่ยวข้อทั้งหมดอยู่ในเอกสารฉบับนี้) หรือจะไปสอบถามกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้เจรจาของฝ่ายรัฐบาลกับแกนนำ นปช. เพื่อยุติความรุนแรง ผลสุดท้ายก็ถูก “เบี้ยว” อย่างหน้าตาเฉย

หากอยากอ่านเบื้องหลังความจริงในรายละเอียดทั้งหมด ให้ไปดูรายงานของ “คณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป. กรกฏาคม 2553 – กรกฎาคม 2555) “ซึ่งมี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน (ดูฉบับสมบูรณ์ในกูเกิลก็ได้) ที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด หากยังไม่เชื่อก็ให้ดูคำพิพากษาของศาลอาญาทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด ถ้ายังไม่เชื่อคำตัดสินของศาลก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว เพราะแกนนำ นปช. ก็ยังยอมรับคำพิพากษาและเดินหน้าเข้าคุกโดยดุษฎี

มีเรื่องเล่ากันว่า ประเด็นของเรื่องที่อยู่ที่ “ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์” มีเป้าหมายกดดันให้ นายอภิสิทธิ์ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อให้ตนพ้นข้อกล่าวหาทุกประการ ทำอย่างไรจะให้ นายอภิสิทธิ์ ยอม ดังนั้น เกมนี้ต้องมี “คนตาย” เพื่อให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ รับผิดชอบในการที่มีคนตาย ต้องยั่วยุให้ทหารซึ่งถืออาวุธยิงตอบโต้แต่ นายอภิสิทธิ์ รู้เกมทั้งหมด จึงพยายามเจรจายุติปัญหาเสียก่อน ก่อนที่เกมจะเดินไปสู่กับดักที่วางไว้ พอจะตกลงกันได้ คนบงการก็สลายเกมทันที

หากอยากรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของผู้ก่อการจลาจรเผาบ้านเผาเมือง ลองถาม คุณสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่สำนึกบาปและมาอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งพร้อมจะเปิดโปงเรื่องนี้ทั้งหมด คนนี้รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังลึกซึ้งเพราะร่วมในคณะก่อการด้วย จนทำให้แกนนำเผาบ้านเผาเมืองนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปตามกัน

ยิ่งออกมาตอบโต้ก็ยิ่งเสีย เช่น แกนนำ นปช. คนหนึ่งเปิดโปงว่า นายสุภรณ์ เสนอโครงการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธให้คนแดนไกลอนุมัติ เท่ากับเปิดเผยว่า คนบงการที่แท้จริงเป็นใคร ซ้ำนายโรบิร์ต อัมสเตรอ์ดัม เปิดโปงว่า เขาในฐานะทนายได้รับคำสั่งจาก “ผู้ว่าจ้าง” ให้มาช่วยเรื่องคดีกับกลุ่มนปช. ดังนั้น ยิ่งพูดมาก็เท่ากับเปิดโปงตัวเองมากขึ้นทุกที

ที่ประชาชนเจ็บใจมากที่สุด คือ การเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายตอบแทนกลุ่มคนที่ทำงานตามแผนนี้จนเสียชีวิตและบาดเจ็บคนละหลายล้านบาท เท่าเป็นการให้เงินมัดจำล่วงหน้าไปด้วยว่า หากมีงานแบบนี้อีกก็ขอให้มาช่วยกันนะ ของแบบนี้ใครๆ ก็อยากมาช่วยเพราะหากตายหรือบาดเจ็บ ยังได้เงินชดเชยอย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตนี้หลายคนคงไม่รู้ว่า เกมนี้ มีผู้นำชาติประเทศเพื่อนบ้านชาติหนึ่งได้ช่วยเหลือเผาบ้านเผาเมืองไทยอย่างเต็มที่

ทั้งให้ใช้ดินแดนประเทศตนติดกับไทยเป็นสถานที่ฝึกอบรมโดยทหารประเทศนั้น ให้ที่พักพิง ให้ที่หลบซ่อนหลังปฏิบัติการ สนับสนุนอาวุธกระสุน 2 ลำเรือประมง ฯลฯ เพื่อโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะรัฐบาลนี้ไม่ยอมเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศตน ทั้งเรื่องเส้นเขตแดนทางบกและน้ำ ในขณะที่อีกฝ่ายเอื้อประโยชน์ให้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องเขาพระวิหาร ที่สำคัญคือ ผลประโยชน์ร่วมในบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในไทยอ่าวไทย

จึงไม่ต้องแปลกใจที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านคนนี้ช่วยเหลือให้อดีตผู้นำไทยหนีคดีไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่มาจอดรอไว้แล้วที่เสียมราฐ บินกลับไปสิงคโปร์ และต่อไปยังตะวันออกกลางในคืนวันเดียวกัน

ถ้าอยากจะหาความจริง ความจริงเรื่องพวกนี้มีอีกมาก แต่เป็นความจริงชุดเดิมและชุดเดียว ไม่มีใครมาบิดเบือนให้เป็นความจริงชุดใหม่ที่เขียนปรับปรุงขึ้นใหม่ได้ เดือนพฤษภาเป็นเดือนปูพื้นเท่านั้น แต่จะไปหนักในเดือนมิถุนายน ที่มีวันสำคัญคือ 24 มิถุนายน 2475 มีการหยิบเอาตัวเลข 24 มาบวกกับ 75 กลายเป็น 2475 มาเล่นบ้างแล้ว เพราะเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่พวกเขามองว่า “ยังไม่สะเด็ดน้ำ” เนื่องจากฝรั่งเศสล้มพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และสุดท้ายเปลี่ยนเป็นระบอบสาธารณะรัฐกลุ่มสาธารณะรัฐนิยมไม่เคยหมดไปจากประเทศไทย และจะยิ่งเคลื่อนไหวมากขึ้นในยุคปัจจุบัน