posttoday

ชีวิตที่ตัดผมไม่ได้: เหม่งจ๋า..ผมลาก่อน !

30 มีนาคม 2563

โดย...ไชยันต์ ไชยพร    

********************

คำสั่งผู้ว่ากรุงเทพมหานครให้ปิดร้านตัดผม ผลก็คือ ไปตัดผมที่ร้านไม่ได้ เพราะร้านตัดผมเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งแห่งหนึ่งในบรรดาสถานที่สุ่มเสี่ยงอีกหลายแห่ง ร้านตัดผมสุ่มเสี่ยงอย่างไรคงไม่ต้องอธิบายนะครับ ดังนั้น คนกรุงเทพฯที่เคยตัดผมตามร้าน ย่อมจะไม่สามารถตัดผมได้ !

ส่วนตามต่างจังหวัดนั้น ก็คงอยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ ไม่ต่างจากที่อยู่ในดุลพินิของผู้วากรุงเทพมหานคร อย่างเช่น ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ฉบับที่ ๔/๒๕๖๓ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓ ลงนามโดยคุณอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ยังไม่ได้สั่งให้ปิดร้านตัดผม แต่ได้กำหนดให้ร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผมต้องจัดเก้าอี้ตัดผมมีระยะห่างไม่น้อยกว่า ๑ เมตร และงดการให้บริการพื้นที่ปรับอากาศ ให้มีบริการวางแอลกอฮอลล์ล้างมือจุดใช้ร่วมกัน ผู้ให้บริการและลูกค้าต้องสวมหน้ากากแบบผ้าตลอดเวลา และให้มีการทำความสะอาดพื้นผิวที่เป็นจุดสัมผัสสาธารณะ เช่น ประตูทางออก และห้องสุขา และงดการนั่งรอคิวรับบริการ

ดังนั้น ในจังหวัดที่ไม่สั่งปิดร้านตัดผม พี่น้องในจังหวัดนั้นๆ ก็ยังไปตัดผมได้ เพียงแต่ทางร้านก็ดีและทางลูกค้าก็ดีต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด คงต้องโทรไปนัดกันก่อน เพราะเขาไม่ให้ไปนั่งคอยออกันในร้าน ถ้าจะให้ดี ตัดทีละรายก็น่าจะปลอดภัย คือ ในขณะที่บริการลูกค้าหนึ่งคน ก็จะมีแต่ช่างหนึ่งคนกับลูกค้าหนึ่งคน แต่ที่ยังสงสัยก็คือ จะให้ช่างมีระยะห่างจากลูกค้า ๑ เมตรได้ยังไง ? มันก็ยังสุ่มเสี่ยงอยู่ดี ยกเว้นช่างจะมีเครื่องมืออะไรที่ยาวพอจะแทนขาแทนมือในการตัดแต่งผมลูกค้า หรือไม่ก็ช่างก็ต้องอัญเชิญวิญญาณแม่นาคมาช่วย จะได้สามารถยื่นและยืดแขนได้ยาว ๑-๒ เมตรไปทำผมให้ลูกค้า เหมือนตอนที่แม่นาคยืดแขนมือลงไปหยิบมะนาวที่ตกลงร่องพื้นไปที่ใต้ถุนบ้าน

ดังนั้น ถ้าช่างและลูกค้าใจไม่ถึง ก็อาจจะต้องหยุดบริการและการตัดผมไปโดยปริยาย ขณะเดียวกัน ก็มีคนเริ่มพูดถึงการเรียกช่างให้ไปบริการถึงบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้จะปลอดภัยมากขึ้นอะไร เพราะเชื้อมันอยู่ที่ตัวคนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ช่างหรือที่ลูกค้า เพราะยังไงๆ ระยะห่างระหว่างลูกค้ากับช่าง มันก็ไม่สามารถห่างได้ ๑-๒ เมตรอยู่ดี ยิ่งตอนตัดผม มันก็เห็นๆอยู่ว่า แม้ว่าช่างและลูกค้าจะใส่หน้ากาก แต่ในขณะที่ช่างยืนตัดผมเราอยู่นั้น ช่างก็กำลังหายใจรดลงมาแถวๆหัวของเรา และลมหายใจอาจไหลผ่านซอกหน้ากากมาก็ได้อีก

การเรียกให้มาบริการที่บ้านก็จึงไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นกว่าไปที่ร้าน ดังนั้น ก็มีแนวโน้มที่คนจะไม่ได้ตัดผมไปอีกนาน จนกว่าทางการจะประกาศให้เปิดร้านตัดผมได้

มีผู้รู้คาดการณ์ว่าสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดไม่น่าจะหมดไปได้ในเร็ววันนี้อย่างเร็วก็น่าจะปลายปีโน่น เพียงแต่วา่ การสั่งปิดสถานที่สุ่มเสี่ยงอาจจะผ่อนคลายได้เร็วกว่านั้น ซึ่งผู้เขียนก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่ามันจะผ่อนคลายได้เร็วยังไงยังนึกไม่ออก ได้แต่ภาวนาให้มันผ่อนคลาย ผู้คนจะได้ไปตัดผม ร้านทำผมจะได้ทำมาหากินได้ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเอาอะไรกิน รวมทั้งอาชีพอื่นๆอีกหลายอาชีพด้วย แต่วันนี้ขอเน้นไปที่เรื่องผมเป็นสำคัญก่อน

เอาเป็นว่าหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายจนถึงปลายปี ก็แปลว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยจะต้องไว้ผมอีกราว ๙ เดือน !! ลองคิดดูว่าเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจจะทำอย่างไรกับทรงผมที่มันยาวเกินระเบียบ ? เป็นไปไดไ้หมว่าทางทหารและตำรวจจะจัดบริการการตัดผมให้กับเจ้าหน้าที่ในสังกัด ซึ่งยังไงมันก็หนีความเสี่ยงไปไม่พ้นอยู่ดี เพราะจะให้ช่างตัดผมกับคนที่ตัดผมผมห่าง ๑ เมตรได้ยังไง มิพักต้อง ๒ เมตร อันเป็นความห่างที่ปลอดภัยแน่นอนขึ้น

เป็นไปได้ไหมว่า ทางการจะต้องออกคำสั่งผ่อนปรนความยาวของผมของเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเพราะไม่งั้นจะผิดระเบียบตามๆกัน แล้วมันจะยุ่งวุ่นวายตามมาในภายหลัง ถ้าไม่ออกคำสั่งปลดล็อก

ส่วนผู้คนทั่วไปย่อมจะไม่มีปัญหาเท่าเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ แต่จะเกิดปัญหาความรำคาญเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคนที่ชอบไว้ผมสั้น ก็คือไม่ชอบไว้ผมยาว คนแนวนี้ บางทีผมยาวขึ้นนิดเดียวก็ต้องไปตัดแล้ว ดังนั้นคนแนวนี้ทั้งชายหญิงจะต้องปรับตัว และคิดเอาไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะต้องเผชิญกับความรำคาญที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเกิดขึ้นกับตัวเองในชาตินี้

ส่วนเด็กนักเรียนอาจมีเฮ ถ้าสังกัดโรงเรียนที่บังคับให้ตัดผมสั้น ช่วงเก้าเดือนนี้ คงยาวสะใจเลย แต่คิดว่าผู้ปกครองคงหาทางให้ญาติสนิทมิตรสหายที่ไวใจว่า ปลอดเชื้อมาช่วยตัดผมให้ลูกๆ เพราะตัวลูกๆน่าจะปลอดเชื้อกว่าผู้ใหญ่(ซึ่งก็ไม่จริงอีก เพียงแต่เด็กไม่ค่อยมีอาการเท่านั้น !) ดังนั้นถ้าไม่อยากสุ่มเสี่ยงก็ควรปล่อยให้เด็กๆเขาผมยาวต่อไปน่าจะปลอดภัยกว่า ที่จะต้องมาเคร่งครัดกับเรื่องทรงผมจนต้องให้ลูกๆหรือญาติที่มาตัดผมให้ลูกต้องเสี่ยงติดเชื้อ

แต่ถ้าเกิดตัวเด็กเองอยากตัดเพราะไม่ชอบผมยาวอันนี้จะลำบากหน่อย เพราะจะต้องทนกับผมยาวไปอีกนานแน่นอน (ไม่ได้ขู่) อีกทั้งถ้าไม่ชอบผมยาว เพราะมันร้อนและต้องสระผมบ่อยๆ ก็ยิ่งจะแย่ เพราะถ้าไม่เคยสระผมบ่อยๆ ก็อาจจะไม่ได้สระบ่อยๆ และผมที่ยาวกว่าปกติก็จะสร้างปัญหาเรื่องสุขอนามัยบนศีรษะตามมา เช่น หัวเหม็น เกิดฝีที่หัว และรังแครังควาน ฯ

ส่วนคนที่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดร้านตัดผม ก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ว่า เป็นคนประเภทไหนซึ่งมีสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกคือ กลุ่มคนที่ไม่มีผมบนศีรษะเลย หรือมีแต่ก็น้อยและไม่ค่อยจะงอกได้รวดเร็วเหมือนต้นถั่วในเรื่องแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ พูดง่ายๆก็คือ คนหัวล้านกระหม่อมบางนั่นแหละ หรือที่ผู้เขียนมักจะเรียกเล่นๆว่า พวก “เหม่งจ๋า ผมลาก่อน” ที่เรียกเช่นนั้น ก็เพราะเวลาขับผ่านสี่แยกเหม่งจ๋าย ก็ให้นึกตัด “ย” ออกจากชื่อแยก เพราะตัวเองเป็นคนสัปดนชอบล้อคนหัวล้าน และเมื่อตัด “ย” ออก ก็จะเหลือ “เหม่งจ๋า” แล้วก็เสริมคำว่า “ผมลาก่อน” เข้าไป เพราะถ้าผมไม่ลาออกจากกระบาล มันจะ “เหม่ง” ได้อย่างไร ? และเมื่อผมมันจะลาจากหนังศีรษะ ก็คงรู้ตัวว่าจะสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับเจ้าของหัวนั้นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงต้องสุภาพออกตัวว่า จะไปแล้ว เข้าทำนอง ไปมาลาไหว้

ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากการปิดร้านตัดผม คือ คนที่ชอบไว้ผมยาว และไม่ชอบตัดผม ชอบปล่อยรกๆไม่ต้องแต่งอะไร ยาวเท่าไรก็ไม่เกี่ยง และไม่รู้สึกรำคาญเท่ากับที่คนอื่นเห็นแล้วต้องรำคาญแทน ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้

ชีวิตที่ตัดผมไม่ได้: เหม่งจ๋า..ผมลาก่อน !