posttoday

พังเพราะปาก

21 พฤศจิกายน 2562

ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

*********************************



ไม่น่าเชื่อว่า หนึ่งถึงสองสัปดาหที่ผ่านมา จะมีรื่องราวที่ทำให้สังคมได้พูดหรือเขียนถึงพรรคอนาคตใหม่ได้มากมายเพียงนี้

นักมวยหนุ่ม ไฟแรง ฟิตซ้อมมาอย่างดี เป็นดาวรุ่งที่แฟนๆ จับตามองพราะต่อยดีมาตลอด แต่อยู่ๆ ออกอาการช็อตไปดื้อๆ เก็บอาการไม่อยู่ จนโดนคนดูโห่ฮาทั้งสนาม

ตั้งแต่พรรคเริ่มแพแตก ส.ส.บางคนและสมาชิกหลายคนลาออกจากพรรคหลังจากพรรคมีมติคัดค้าน พ.ร.ก.โอนกำลังพลฯ ตามด้วยคำทำนายของบรรดาโหรการเมืองทั้งหลายต่อดวงชาตาของแกนนำหนึ่งหญิงสองชายทั้ง "ทอน" "บุตร" และ "ช่อ"ทำให้กองเชียร์ใจฝ่อ เรื่องนี้มีผลทางจิตวิทยาไม่น้อย เพราะคนไทยครึ่งหนึ่งเชื่อตามโหรไปแล้ว

แกนนำที่ถูกทำนายดวง แม้เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ในใจก็คงหวั่นไหวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 โดยเฉพาะดูจากอาการเครียดผ่านทางสีหน้า แววตาและคำพูดของ "ทอน" โดยเฉพาะ "ช่อ" แสดงอาการเครียดและกังวลอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับรู้ชาตาตัวเอง ส่วน "บุตร" นั้นปากยังเก่ง แต่แววตาก็ส่อความกังวลไม่น้อย

ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่หลายฝ่ายเฝ้ารอ ผลออกมาตามที่คาดไว้ ถ้าเป็นมวย ฝ่ายแดงซึ่งขึ้นเวทีแบบปากกล้าขาสั่นแพ้คะแนนยกแรก กล่าวคือ นายธนาธรพ้นสถานะภาพของความเป็น ส.ส.ที่จะไม่ได้รับเอกสิทธิความคุ้มกันต่อไป แต่ยังมียกสองและยกสามซึ่งแฟนๆ รอลุ้นด้วยใจระลึก เพราะล้วนแต่เป็นคดีหนักถึงติดคุก ยุบพรรคเพราะหัวหน้าพรรคอาจแพ้น็อคได้

ไม่มีใครใส่ร้ายป้ายสี ไม่มีใครแกล้ง แต่เป็นเรื่องที่แกนนำพรรคอนาคตใหม่ทำเองทั้งสิ้น คำพูดที่ตัวเองสะสมมาเหมือนกับการสะสมดินระเบิด เมื่อถึงวันหนึ่งพอเจอความร้อนมากเข้าก็ระเบิดขึ้นมาเอง หรือตัวเองซุกชน เอาไฟไปแหย่จนมันระเบิดขึ้นมา

บรรดาแฟนๆ โดยเฉพาะคนในพรรคอนาคตใหม่ไม่อยากโทษใคร หากจะโทษ ก็ต้องโทษแกนนำพรรค หรือ "ชนชั้นสูง" หรือกลุ่ม "อีลีต" ในพรรคที่มีอยู่ไม่กี่คนซึ่งเป็นคนกำหนดและกุมชาตาของพรรคไว้ทั้งหมด และไม่ค่อยฟังใครเสียงท้วงของ "ชนชั้นกลาง" และ"ชนชั้นล่าง" ในพรรค

กลุ่มนักรียนนอก ที่บางคนคลั่งลัทธิการปฏิวัติฝรั่งเศส ลัทธิประชาธิปไตยตะวันตก ลัทธิมาร์กซ-เลนิน พร่ำเพ้ออยู่กับการล้มเจ้า คศ. 1789 ในขณะที่เวลานี้โลกกำลังจะเข้าสู่ ค.ศ. 2020 แกนนำบางคนเพ้อถึงการปฏิวัติในมืองไทยปี 2475 หรือ 87 ปีมาแล้ว บางคนใกล้เข้ามาหน่อยพูดถึงการออกแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งใกล้กับปัจุบันที่สุด คือห่างกัน 22 ปี

โดยลืมคิดไปว่า สภาพแวดล้อมต่างๆ มันไม่หมือนดิม อาจมีบางอย่างเหมือนเดิม แต่ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปหมดแล้ว จากสังคมเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมเริ่มต้น เวลานี้ เป็นยุคเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร จากเมื่อปี 2540 ที่เพิ่งเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "กระดูกหมา" มาเป็นเทคโนโลยี 5 จี ความคิดความอ่านของคนเปลี่ยนไปหมดแล้ว

แค่บอกว่าให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นแบบ ก็เชยไปแล้ว

เมื่อเกิดพรรคอนาคตใหม่ของคนหนุ่มสาว หลายคนรวมทั้งผู้ขียนและเพื่อนมีความหวังเล็กๆ ที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยบางประการ เพราะบางอย่างก็รับไม่ได้จริงๆ เมื่อมีคนหนุ่มสาวประกาศตัวที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมืองระบบรัฐสภา เราก็แอบเชียร์อย่างเงียบๆ อยากเห็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เข้ามาแทนนักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดินที่โกงกินบ้านเมือง

ดูประวัติของแกนนำทั้งสาม และฟังที่ท่านพูดๆๆๆๆ ทำให้เคลิ้มไปพักหนึ่งทีเดียว

โดยเฉพาะการผลิต "วาทกรรม" หรูๆ ทางการมือง อย่างไรก็ดี คนที่ "รู้ทัน" ฟังแล้วก็พอรู้ว่า วาทกรรมที่แกนนำพรรคสรรหา คัดเลือกนำมาเสนอแก่มวลชนนั้น ฟังแล้วก็รู้ว่า ลอกหรือแปลมาจากฝรั่งนั่นเอง เป็นวาทกรรมที่ดูสวย เพราะ แต่มวลชนคนฟังจะเข้าใจและซึ้งไปกับคำเพราะๆ เหล่านี้มากน้อยเพียงใด เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พรรคอนาคตใหม่ทำให้การมืองไทยคึกคัก มีสีสันทำให้คนมีความหวังมากขึ้น แต่อยู่ไปๆ ประชาชนเริ่มพบว่า บนความฮึกเหิมนั้นต็มไปตัวยความก้าวร้าว อวดดี หลงตัวเอง ใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่า ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือปฏิรูป คิดแต่จะล้มล้างกันเลยทีเดียว

แต่วันเวลาผ่านไป กองเชียร์แบบเราก็หงอยลงทุกที เกิดคำถามในใจว่า "จะไปไหวหรือ"

หลายคนแม้กระทั่งกองเชียร์พูดตรงกันว่า แกนนำพรรคนี้ "ตายเพราะปาก" แบบปลาหมอ เราไม่แน่ใจว่าคนหนุ่มสาวพวกนี้เตรียมตัวมาเล่นการเมืองหรือเปล่า เพราะคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจจะเล่นการเมืองหรือเป็นนักการมือง ต้องเตรียมตัวมาก่อน ทั้งการคิด การพูด การกระทำ โดยเฉพาะคำพูด เมื่อออกจากปากเราไปแล้วจะเอามันยัดกลับคืนเข้าปากอย่างเก่าไม่ได้ คำพูดจะมัดคอเราเอง จะอ้างว่าพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือพูดตอนที่ยังไม่ได้ลงสู่เวทีการมือง หรือยังเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนนั้นไม่ได้ พ่อแม่ปูย่าตายายครูอาจารย์ถึงสอนพวกเราว่าจะพูดหรือทำอะไรต้องคิดเสียก่อน

ข้อกล่าวหาจากสังคมเรื่องพฤติกรรม "ชังเจ้า" "ชังชาติ" "ล้มขนบ" ของแกนนำพรรคนี้ ก็มาจากคำพูดและพฤติการณ์ของแกนนำพรรคนั่นเอง ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไม่ต้องทำอะไรเพียงรอฟังคำพูดจากปากของ "ทอน-บุตร-ช่อ" เท่านั้น ก็สามารถบันทึกข้อกล่าวหาได้เป็นวา เหมือนอย่างที่มีการเผยแพร่กันในสื่อออนไลน์

ยิ่งเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารปัจจุบันก้าวหน้ามาก มีผลทั้งบวกและลบ สามารถสืบค้นหาข้อมูลย้อนหลังไปได้นับเป็นสิบๆ ปี จะมาอ้างว่าตอนนั้นยังเป็นเด็ก คิดแบบเด็ก แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว คนดูและฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองคงไม่คิดอย่างนั้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังสามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งภาพและเสียงเป็นหลักฐาน

เพราะฉะนั้น นักการเมืองรุ่นนี้จะพูดจะเขียน หรือจะทำอะไร ต้องคิดให้ดีๆ เสียก่อน

ยิ่งแสดงท่าทีพาลเกเรกับศาล ศาลถามอะไรก็ตอบว่าจำไม่ได้ทั้งที่ศาลให้โอกาส ซ้ำทำท่าดุศาลเสียอีกทำนองว่า บอกแล้วว่าจำไม่ได้ๆ ยังมาเซ้าซี้ถามอยู่นั่นแหละ แต่กลับมาแถลงปิดคดีนอกศาล และปลุกระดมคนผ่านรายการ "อยู่ไม่เป็น" เพื่อโยนความผิดไปให้สังคมด้วยนั้น เป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้จริงๆ

อย่าไปคิดว่า จะปลุกคนให้ลงถนนแบบฮ่องกงได้

อย่าไปคิดว่า ฝรั่งอเมริกาและสหภาพยุโรปจะมาช่วยคุณได้

อย่าไปโทษสื่อหาว่ารังแก ปล่อยข่าวเท็จ ข่าวเฟคนิวส์ ทั้งที่ตัวเองเคยใช้สื่อในสังกัดโจมตีด่าว่าผู้คนที่เห็นต่างแบบสาดเสียเทเสียมาก่อน แต่พอตนโดนบ้างเพียงนิดหน่อยกลับโวยวาย

กลับไปเตรียมตัวซ้อมและทำใจในการต่อสู้ยกสองยกสามดีกว่า เพราะจะหนักกว่ายกแรก อย่าคิดว่าเราฉลาดอย่างเดียว แต่ต้องเฉลียวด้วย ถ้ามีปัญญา ก็ต้องมีสติด้วย ที่สำคัญ ธนาธรต้องไปหวดก้นฝ่ายกฎหมายของตนเองให้หนัก โดยเฉพาะนักกฎหมายที่อยู่ข้างๆ เพราะพูดทีไร เสนอแนะทีไร เจ้านายตกม้าตายทุกที