posttoday

ช่วยกันทำปี 2554 ให้ประเทศเป็นสุข

06 มกราคม 2554

...ภุมรัตน์ ทักษาติพงษ์

ถ้าเราลากเส้นตรงเส้นหนึ่ง แล้วทำจุดดำตรงกลางเส้น หรือตรงที่ไหนบนเส้นนี้ก็ได้ จุดดำตรงนี้คือเวลาที่เรายืนอยู่ขณะนี้ซึ่งเป็น ปัจจุบันทางซ้ายมือเป็น อดีตที่ผ่านมาแล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็น ความดีที่เคยทำหรือ ความระยำที่เคยสร้างดังที่ คุณภานุมาศ ทักษณา คอลัมนิสต์ชื่อดังเคยเขียนไว้ คนที่ทำความดีก็มีความสุข

ส่วนคนที่ทำความระยำก็มีความทุกข์ แม้อดีตแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราสามารถใช้เป็นบทเรียนสำหรับอนาคตได้ ส่วนทางขวามือคือ อนาคตซึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีหรือเลว แต่ถึงไม่รู้ เราก็ต้องเดินไปสู่อนาคต อนาคตเราเลือกที่จะเดินได้ เราเลือกที่จะทำความดี หรือความระยำ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ถ้าเลือกทำความดีก็เป็นสุข ถ้าเลือกทำความระยำก็เป็นความทุกข์ ถ้าทำความระยำให้กับชาติบ้านเมือง คนในชาติก็เป็นทุกข์ บ้านเมืองก็จะมีแต่ความพินาศฉิบหาย

เรากำลังเดินเข้าสู่ปี 2554 ซึ่งยังเป็นความลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นอกจากเดากันว่าสิ่งนั้นน่าจะเกิด สิ่งนี้น่าจะไม่เกิด และใช้อดีตในปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้ปี 2554 เป็นเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2552 และ 2553 หรือไม่ ที่บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย เกิดการจลาจลตั้งแต่ต้นปี จนติด 10 อันดับแรกของเหตุการณ์สำคัญของโลกในปี 2553

นักยุทธศาสตร์อดีตคอมมิวนิสต์ได้วางแผนอย่างแยบยล ซ่อนเงื่อน กำหนดให้เกิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ปรับเปลี่ยนจากการต่อสู้ระหว่างศักดิดาและนายทุน กับชนชั้นกรรมาชีพ ชาวไร่ชาวนา ตามมาเป็นการต่อสู้ระหว่างอำมาตย์กับ ไพร่

เป้าหมายคือต้องทำให้ อภิสิทธิ์มือเปื้อนเลือดและ ทหารฆ่าประชาชนให้ได้ เพื่อนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศให้เป็นคน เชือดรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นดาบสุดท้าย แต่ก็ได้หลักฐานชัดๆ เพียง 3 ศพที่วัดปทุมวนาราม และผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนทหารและพลเรือนผู้บริสุทธิ์อีก 80 กว่าศพกลายเป็นฝีมือของกองกำลังเถื่อน นักยุทธศาสตร์เสื้อแดงไม่เพียงคิดล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น แต่ยังคิดล้มสถาบันสูงสุดอันเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนคนไทยทั้งประเทศอีกด้วย จนเกิดตำนาน ขบวนการล้มเจ้าขึ้น

ดังนั้น ขึ้นอยู่กับแกนนำกลุ่ม นปช.เสื้อแดงจะเลือกว่าในปี 2554 พวกเขาจะทำเหมือนกับที่ทำในปี 2552 และ 2553 อีกหรือไม่ พวกเขาสามารถเลือกทางเดินได้ว่าจะเดินแนวทางรุนแรง และสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชนอีก หรือเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

ประชาชนคนไทยทั่วไปลองถามใจตัวเองว่าจะยอมรับกับพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงดังที่ผ่านมาได้หรือไม่ ประชาชนสามารถเลือกได้ว่า ในปี 2554 จะปล่อยให้คนพวกนี้หรือใครก็ตามมาทำร้ายประเทศชาติ ราชบัลลังก์และประชาชนอีกต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่ยอม ก็ต้องรวมตัวกันออกมาคัดค้าน ต่อต้านประณามการกระทำดังกล่าว

รัฐบาลและฝ่ายทหารต้องใช้เหตุการณ์ที่ผ่านมาในปี 2552 และปี 2553 เป็นบทเรียนว่า การรีรอ ไม่กล้าตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลม จนในที่สุดก็ต้อง จ่ายแพงมากด้วยชีวิตของทหารและประชาชน ทรัพย์สินของภาครัฐและเอกชนอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้ ในปี 2554 รัฐบาลและทหารสามารถเลือกที่จะป้องกัน ป้องปราม ตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน หรือจะปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อจนยากที่จะดับไฟ

ประชาชนผู้บริโภคข่าวสามารถเลือกที่จะเสพข้อมูล และแปลงข้อมูลนั้นให้เป็นความรู้ได้ เราหวังว่าประชาชนในปี 2554 จะเป็นคนที่มี ความรู้สามารถรู้เท่าทันว่าอะไรคือข่าวลวง อะไรคือความจริง เพราะสิ่งที่เราเห็นหรือได้ยิน อาจไม่ได้เป็นไปตามที่เราเห็นและได้ยินเสมอไป ประชาชนปี 2554 จะเป็นผู้เสพข่าวแล้วเกิดสติปัญญา สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูกและอะไรผิด เป็นคน ตาสว่างไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อหรือการหลอกลวงของนักการเมืองบางพวก

ในปี 2554 หากทุกฝ่ายเลือกที่จะน้อมนำเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในวาระต่างๆ มาปฏิบัติ พระองค์ท่านทรงสอนให้คนไทยจะทำอะไรให้มี สติรู้ตัว ปัญญารู้คิด สุจริตจริงใจ ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นใหญ่และทรงสอนให้ทุกคนทำความเข้าใจกับ หน้าที่ของตนให้กระจ่างชัด ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ บ้านเมืองก็จะมีแต่ความสงบสุข

ที่บ้านเมืองเกิดความเสียหายก็เพราะหลายฝ่ายไม่เข้าใจหน้าที่ของตน ผู้ชุมนุมก็เอาแต่อ้างสิทธิ แต่ไม่รู้จักหน้าที่ของการเคารพกฎหมายบ้านเมือง ตำรวจไม่ทำหน้าที่รักษากฎหมาย สส.ไม่ทำหน้าที่ในสภาเพื่อออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน กลับโดดหนีการประชุมจนสภาล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า สส.ฝ่ายค้านหลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่ขึ้นเวทีเสื้อแดงนอกสภา บางคนแทนที่จะทำหน้าที่ตามที่ปฏิญาณไว้ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ กลับเสนอเปลี่ยนโครงสร้างประเทศตามโมเดลโรมานอฟบ้าง ปฏิวัติฝรั่งเศสบ้าง ปฏิวัติเนปาลบ้าง รัฐบาลและทหารมัวแต่ท่องคาถาคนไทยด้วยกัน จนไม่กล้าตัดสินใจทำหน้าที่ของตนตั้งแต่แรก เข้าประเภท กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ไปหมดแล้ว สื่อมวลชนก็ถูกมองว่ามีส่วนในการโหมไฟให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย คนไทยแตกความสามัคคีกัน

คนไทยทุกคนมีส่วนกำหนดอนาคตของประเทศชาติในปี 2554 ว่าจะให้เป็นไปในทิศทางใด จะช่วยกันสร้างความดีงาม ความเรียบร้อยแก่บ้านเมือง หรือจะสร้างความฉิบหายแก่บ้านเมือง ถ้ามีใครคิดจะทำความพินาศฉิบหายให้บ้านเมือง คนไทยส่วนใหญ่จะอยู่เฉยๆ หรือ?