posttoday

เชื้อความรุนแรงกัดกร่อนรัฐบาล" บิ๊กตู่"

30 มิถุนายน 2562

หากปล่อยให้เพาะเชื้อความรุนแรงขยายตัวย่อมทำให้รัฐบาลทำงานยากขึ้น

หากปล่อยให้เพาะเชื้อความรุนแรงขยายตัวย่อมทำให้รัฐบาลทำงานยากขึ้น

*********

โดย อสนีบาต

"ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่น่าเป็นครั้งสุดท้าย"

ต่อเหตุการณ์ เมื่อวันที่28 มิ.ย.62 กลุ่มคนปริศนาจำนวน 4 คน รุมทำร้าย "สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์" หรือ"จ่านิว" นักเคลื่อนไหวทางการเมืองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.62 ห่างกันเกือบครบเดือนจากเหตุการณ์ล่าสุด "สรวิญช์" ถูกกลุ่มคนร้ายประมาณ 5 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อคเข้ารุมทำร้ายที่ป้ายรถเมล์แถวถ.รัชดาภิเษก

จำนวนคน พฤติการณ์เข้าทำร้ายมีจำนวนใกล้เคียงเสียเหลือเกิน เพียงแต่ครั้งล่าสุด ผู้ถูกกระทำได้รับบาดเจ็บหนักกว่าครั้งแรกถึงขั้นรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ออกปากว่า " นี่ต้องการทำร้ายถึงกับให้พิการหรือปางตายกันเลยทีเดียว"

ย้อนกลับไปสมัยคสช.เรืองอำนาจ "จ่านิว" เคยถูกกลุ่มทหารอุ้มข้ามกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต

เดชะบุญกล้องวงจรปิดทำงานจึงกลายเป็นข่าวทันที ข้อมูลจาก"โบว์" ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ระบุ

กรณีที่เกิดขึ้นกับ "จ่านิว" ครั้งล่าสุด ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในฐานะนายกรัฐมนตรีสมัยสองสั่งการ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เรียกประชุมด่วนเร่งคลี่คลายหากลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดี

ถือเป็นความกระตือรือร้นของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต่อการพิทักษ์รักษาชีวิตและทรัพย์สินพี่น้องประชาชนที่อยู่ในบ้านเมืองอย่างยิ่งนัก

ถึงขนาด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรมว.กลาโหมสื่อสารผ่านโฆษกกระทรวงกลาโหมให้ออกมาประกาศนโยบายด้านความมั่นคง "การใช้ความรุนแรงทางสังคมจะปล่อยให้เกิดขึ้นกับใครไม่ได้เด็ดขาด"

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ"จ่านิว" ครั้งนี้ รัฐบาล"บิ๊กตู่" ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ

ช่างไม่เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. และคงไม่ต้องกล่าวถึงเหตุการณ์"จ่านิว" โดนนายทหารอุ้ม ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ก่อนครั้งนี้ เรื่องราวเงียบหายเข้ากลีบเมฆ

ท่ามกลางคำถามตามมา จะต้องปล่อยให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผบ.ตร.จึงเครื่องร้อนสั่งประชุมคลี่คลายคดีโดยเร็ว (ถ้าเบื้องบนไม่สั่งมาก็อยู่นิ่งๆไปอย่างนั้น)

หรือเป็นมาตรฐานของผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในการติดตามดำเนินคดีไปแล้ว กล่าวคือ 

-หากการถูกทำร้ายไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก ยังไม่ต้องกระวีกระวาดติดตามดำเนินคดี โดยมองแค่ว่า เป็นปัญหาส่วนตัวบ้าง ทะเลาะวิวาทตามปกติบ้าง ปรับแค่ 500 บาทแล้วจบไป เป็นต้น

-เพราะเป็นเพียงแค่ผู้เห็นต่างยืนฝั่งตรงข้ามรัฐบาล แค่ชายตามองเท่านั้น

หรือเป็นมาตรฐานของผู้อยู่ในอำนาจทางการเมืองทีว่าหาก"จ่านิว" ยืนอยู่ฟากรัฐบาลเกิดโดนทำร้าย ก็อาจได้รับการปฏิบัติ ด้วยการติดตามจับกุมอย่างรวดเร็ว???

ไม่ว่าจะเป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล หรือแม้แต่ประชาชนตาดำๆ ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เจ้าหน้าที่ดูแลบ้านเมืองไม่ควรปล่อยผ่านมองว่าธุระไม่ใช่มิใช่หรือ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพรัฐบาลคสช. ตลอดห้าปีซึ่งประกาศนโยบายแรกๆ ในการเข้ามาสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย ก็ดูจะไม่ได้ผลนัก

เพราะในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นอกจากถูกดำเนินคดี  ก็ยังมีเหตุการณ์ลอบทำร้าย พร้อมกับการหายตัวอย่างเป็นปริศนา

ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ"โกตี๋" วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานีหรือกรณี"สุุรชัย แซ่ด่าน" ไม่อาจทราบชะตากรรม แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์พาดพิงกลุ่มคนในรัฐบาลในทางไม่สู้ดี

จริงอยู่ยังไม่ปรากฎหลักฐานยืนยันชัดรัฐบาลคสช.ทำให้บุคคลเหล่านี้หายสาบสูญแต่ความเป็นรัฐบาลมิอาจปฏิเสธที่จะช่วยสร้างความเข้าใจอันดีต่อสาธารณะชน

ดีกว่าปล่อยผ่านเหมือนเช่นกรณี"จ่านิว"ถูกทำร้ายรอบสอง  ทำให้สังคมมองภาพการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย่ในยุคพล.อ.ประยุทธ์ เรืองอำนาจต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องตัดสิน

สิทธิเสรีภาพในการเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นควรได้รับการคุ้มครอง ไม่ถึงขั้นต้องทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ปฏิบัติตามกรอบกฎหมายเดียวกัน

ฟากการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบทางการเมืองย่อมเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือต่อผลที่กำลังตามมา

เพราะทันทีที่นักเคลื่อนไหวรายหนึ่งรายใดถูกทำร้ายร่างกายย่อมเข้าทางฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวโจมตี

นักการเมืองฝ่ายไม่สนับสนุนรัฐบาล องค์การสิทธิมนุษยชนสากลพร้อมกระโดดจับประเด็น "จ่านิว" นำมาสร้างประโยชน์ให้ตนเอง รุมขย้ำใส่รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการดูแลพิทักษ์รักษาชีวิตและทรัพย์สิน

"เป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่แล้ว ทางการเมืองจะต้องออกมาสูตรนี้"

รัฐบาลควรกลับมาทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้างมิใช่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายเห็นต่างรุมถล่ม

รัฐบาล "บิ๊กตู่"ต้องคำนึง ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม แต่เขาคือประชาชนคนไทย

การเมืองตามระบอบประชาธิปไตยหากปล่อยให้บ่มเพาะเชื้อความรุนแรงขยายตัวออกไปยิ่งทำให้รัฐบาล"บิ๊กตู่" ทำงานยากขึ้น

โดยเฉพาะกับถ้อยแถลงหลังรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯนายกรัฐมนตรีสมัยสอง"ต้องการสร้างสรรค์สังคมให้มีความรัก ความสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์..."

...จะทำสำเร็จหรือไม่...