posttoday

บิ๊กตู่ลงชิงนายกฯ เส้นทางหนามกุหลาบ

11 กุมภาพันธ์ 2562

การลงสนามชิงเก้าอี้นายกฯในการเลือกตั้งครั้งนี้ของบิ๊กตู่ ก่อนจะไปถึงเป้าหมายเพื่อรับดอกกุหลาบนั้นต้องฝ่าดงหนามไปให้ได้ก่อน

การลงสนามชิงเก้าอี้นายกฯในการเลือกตั้งครั้งนี้ของบิ๊กตู่ ก่อนจะไปถึงเป้าหมายเพื่อรับดอกกุหลาบนั้นต้องฝ่าดงหนามไปให้ได้ก่อน

***********************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เป็นอีกครั้งที่ผู้นำจากการรัฐประหารจะขอลงสนามเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดอำนาจอย่างชอบธรรมและสง่างาม โดยก่อนหน้านี้เป็น พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ลงสนามเลือกตั้งในนามพรรคมาตุภูมิ เพียงแต่เหตุผลในการลงการเมืองของ พล.อ.สนธิ แตกต่างจากกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

“บิ๊กบัง” ลงเลือกตั้งโดยไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาสานภารกิจของตัวเองให้จบ จึงทำให้ไม่ได้เข้ามาอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาล แต่เลือกที่จะอยู่กับพรรคมาตุภูมิที่มีฐานเสียงเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น สวนทางกับ “บิ๊กตู่” ที่มีกองเชียร์จากอดีตนักเลือกตั้งที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าทำงานของ คสช.ให้จบ ทั้งการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและการผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง “พรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งเพียงแค่เห็นชื่อก็บอกได้ทันทีว่าพรรคนี้มีไว้เพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างแท้จริง

ณ นาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคพลังประชารัฐมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งในแง่นโยบายและตัวบุคคลที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง ผนวกกับกระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ถึงได้ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากผู้สันทัดกรณีหลายสำนัก

ข้อได้เปรียบของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่เหนือพรรคการเมืองทุกพรรค คือ การยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นนายกฯ รักษาการที่ทำหน้าที่นายกฯ ในระหว่างการจัดการเลือกตั้งเหมือนกับนายกฯ คนอื่นๆ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกฯ ที่มีอำนาจทางบริหารครบสมบูรณ์ทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสวมหมวกอีกใบในฐานะหัวหน้า คสช.ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงการใช้อำนาจตามมาตรา 44

จุดนี้เองที่ทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสามารถอนุมัติหรือออกนโยบายได้ตามปกติ โดยไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้

เมื่อ พล.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐ ลงเรือลำเดียวกัน ประโยชน์ที่สุดจึงตกอยู่กับบรรดาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐเองที่สามารถนำไปเป็นจุดขายเพื่อเรียกคะแนนความนิยมได้ เท่ากับว่านโยบายของพรรคพลังประชารัฐน่าจะเป็นสิ่งจับต้องได้มากกว่าพรรคการเมืองอื่น

ขณะที่พรรคการเมืองอื่นต้องเอาวิมานในอากาศมาขาย เรียกได้ว่าถ้าประชาชนอยากจะเห็นนโยบายของพรรคการเมืองอื่นๆ ออกดอกออกผลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กันเลยทีเดียว ซึ่งพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันถูกหว่านและเริ่มเห็นผลบ้างแล้ว

ดังนั้น หากจะบอกว่านโยบายของพรรคพลังประชารัฐเหมือนกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เทน้ำร้อนและรับประทานได้เลยก็คงไม่ผิดนัก

อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบตรงนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐจะทำให้พรรคสามารถเดินอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ได้อย่างคนโลกสวยเสียทีเดียว

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าภายใต้คนรักบิ๊กตู่และพรรคพลังประชารัฐ ก็ย่อมต้องมีคนไม่ปลื้มเช่นกัน

ผลงานของรัฐบาลมีหลายเรื่องที่เข้าเป้าและเข้าตา แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร โดยเฉพาะท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อประเด็นสาธารณะ เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองที่เกินมาตรฐาน หรือการแสดงความไม่พอใจกับบางฝ่ายที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกภายหลังอยู่ในบัญชีรายชื่อว่าที่นายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ

ประเด็นเหล่านี้ถูกขยายผลไปเร็วมากผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งการแชร์และการติดแฮชแท็กเพื่อกระทบกระเทียบ พล.อ.ประยุทธ์ ในทำนองรุนแรง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มมีความเคลื่อนไหวในหมู่เลือกตั้งเหมือนกันว่าจะปรับกลยุทธ์การลงพื้นที่หาเสียงอย่างไร เพราะหากใช้ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นจุดขายย่อมมีผลบวกและผลลบที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีพอสมควร

ก่อนจะไปถึงเป้าหมายเพื่อรับดอกกุหลาบนั้นต้องฝ่าดงหนามไปให้ได้ก่อน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแบกร่างอันบอบช้ำไปถึงจุดหมายหรือไม่