posttoday

พลังประชารัฐ พลังประชานิยม

14 มกราคม 2562

การสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐต้องใช้การขับเคลื่อนผ่านนโยบายประชานิยมผ่านสิ่งที่เรียกว่า “นโยบายประชารัฐ”

การสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐต้องใช้การขับเคลื่อนผ่านนโยบายประชานิยมผ่านสิ่งที่เรียกว่า “นโยบายประชารัฐ”

******************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ถ้าจะบอกว่าพรรคการเมืองใดมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้มากที่สุด คงต้องยกให้กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะเมื่อดูจากขุมกำลังที่มีอยู่ในเวลานี้แล้ว ต้องบอกว่าแทบไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ลงสนามเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

ย้อนกลับไปดูพรรคไทยรักไทยในเวลานั้นก็เป็นพรรคที่อุดมไปด้วยนักเลือกตั้งเกรดเอ และนักการเมืองมากบารมีจากหลายกลุ่ม และพลังของทุนการเมืองที่มีเหนือกว่าทุกพรรค ประกอบกับความแปลกใหม่ในนโยบายที่เรียกว่า “ประชานิยม” ซึ่งเป็นนโยบายที่เอางบประมาณแผ่นดินใส่มือไปยังประชาชนโดยตรงในแบบที่ไม่เคยมีพรรคการเมืองใดทำได้มาก่อน จึงไม่แปลกที่ทำให้ทักษิณสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนายรัฐมนตรีคนแรกที่สามารถอยู่จนครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร 4 ปี โดยไม่ได้มีการยุบสภาฯ กลางคันเหมือนกับหลายรัฐบาลในอดีต

ประวัติศาสตร์ที่ทักษิณสร้างไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เพราะการเลือกตั้งในสมัยที่ 2 สามารถนำพาพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายพร้อมกับตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

รอยเท้าของพรรคไทยรักไทยกลายเป็นโมเดลที่หลายพรรคต้องหันมาดูตัวเองและเดินตาม จนเป็นที่มาที่ทำให้พรรคการเมืองใช้รูปแบบประชานิยม แม้จะไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นนโยบายประชานิยมโดยตรงก็ตาม

ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลปัจจุบัน ก็ยังเอาแนวทางประชานิยมมาใช้ในการดำเนินนโยบายการบริหารประเทศ ดังจะเห็นได้จากการเพิ่งแจกเงินเข้าบัญชีประชาชนไปก่อนหน้านี้ในเวอร์ชั่นที่เรียกว่า “ประชารัฐสวัสดิการ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเป็นหนึ่งในตัวเต็งว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป ภายหลังพรรคพลังประชารัฐเตรียมประกาศให้พล.อ.ประยุทธ์ มาอยู่ในบัญชีรายชื่อว่าที่นายกฯ ที่พรรคต้องเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

อย่างที่ทราบกันดีว่ายิ่งการเลือกตั้งถูกเลื่อนนานออกไปเท่าใด ยิ่งทำให้รัฐบาลในฐานะเป็นฝ่ายคุมเกมมีความได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้จะไม่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดเหมือนกับรัฐบาลทั่วไปที่ห้ามดำเนินการบางประการในระหว่างมีการหาเสียงเลือกตั้ง

หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้เต็มที่ ซึ่งจังหวะการก้าวของรัฐบาลนั้นย่อมเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชารัฐไม่มากก็น้อย

ใครๆ ก็ทราบดีว่าพรรคพลังประชารัฐกับรัฐบาลปัจจุบันต่างมีสายใยที่เชื่อมถึงกัน ทั้งในแง่ของบุคคลที่มีรัฐมนตรีในรัฐบาลถึง 4 คน เข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ หรือในแง่ของนโยบายก็มีความคล้ายคลึงกันที่เน้นการต่อยอดนโยบายสวัสดิการประชารัฐของรัฐบาลให้ออกดอกออกผลมากขึ้น

แม้จะมีบางกระแสที่มองว่าการเลือกตั้งที่ถูกยื้อไปนั้น อาจทำให้พรรคพลังประชารัฐและรัฐบาลเสียเปรียบ แต่การมองแบบนั้นอาจเป็นเพียงการมองด้านเดียวเท่านั้น เพราะถ้าชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสียแล้ว รัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐย่อมได้ประโยชน์มากกว่าอย่างแน่นอน

ล่าสุดนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างพอสมควร ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวมีประมาณ 6 แสนล้านบาท

รัฐบาลเพิ่งเปิดเผยตัวเลขภาพรวมยอดคำขอและจำนวนโครงการรับส่งเสริมการลงทุนในปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่อีอีซีถึง 422 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 6.83 แสนล้านบาท ประกอบด้วย ชลบุรี 193 โครงการ เงินลงทุน 5.76 แสนล้านบาท ระยอง 156 โครงการ เงินลงทน 5.87 หมื่นล้านบาท และฉะเชิงเทรา 73 โครงการ เงินลงทุน 4.83 หมื่นล้านบาท

ผลงานของรัฐบาลที่เกิดขึ้นและกำลังเดินหน้าไปด้วยดี ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐได้แรงสนับสนุนไปในตัวด้วย

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่รอการประกาศการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ย่อมเป็นโอกาสที่จะทำให้รัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น

การเลือกตั้งไม่ได้วัดกันที่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว ถึงพรรคพลังประชารัฐจะพยายามดัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกสมัย แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะชนะเลือกตั้งได้ เพราะต้องอาศัยพลังของนโยบายพรรคการเมืองด้วย

ในมุมนี้เอง พรรคพลังประชารัฐก็รู้ดีและกำลังทำการบ้านเรื่องนี้อยู่พอสมควร โดยเฉพาะการต่อยอดนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทั้งเรื่องสวัสดิการประชารัฐ ซึ่งหวังเจาะฐานเสียงในภาคอีสานและภาคเหนือที่เป็นพื้นที่ผูกขาดของพรรคเพื่อไทย อันมีผลช่วยให้ได้เป็นรัฐบาลมาหลายสมัย

ทางเดียวที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐจะสู้กับพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคไทยรักษาชาติ คงต้องใช้การขับเคลื่อนผ่านนโยบายประชานิยมจากพรรคพลังประชารัฐและรัฐบาลเป็นหลักผ่านสิ่งที่เรียกว่า “นโยบายประชารัฐ”

ที่สุดแล้ว เส้นทางสู่ชัยชนะในสนามเลือกตั้งอาจจะมีอุปสรรคขวางอยู่บ้าง แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐที่มีความพร้อมในทุกด้าน คงไม่ใช่เรื่องยากที่พรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งและเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเอง แบบที่พรรคเพื่อไทยและไทยรักไทยเคยทำ เว้นเสียแต่อย่าสะดุดขาตัวเองเท่านั้น