ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ เปิดหน้าลุย ปลุกขวัญเรียกคะแนนมวลชน
เป็นการเปิดหน้าชนครั้งสำคัญ ของ ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คู่พี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีที่ออกมาเคลื่อนไหวส่งสัญญาณปลุกขวัญ กำลังใจพลพรรค
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
นับเป็นการเปิดหน้าชนครั้งสำคัญ ของ ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คู่พี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งออกมาเคลื่อนไหวส่งสัญญาณปลุกขวัญ กำลังใจพลพรรคและเรียกคะแนนนิยมจากฐานเสียงเดิมในช่วงที่ประเทศกำลังจะเดินหน้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ล่าสุดเว็บไซต์ caixinglobal รายงานว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทและผู้แทนโดยชอบธรรมของบริษัท ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ (Shantou International Container Terminals Ltd.) หรือ SICT ซึ่งเป็น ผู้บริหารท่าเรือซัวเถา มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามสร้างการยอมรับในตัวตนอีกครั้ง หลังตัดสินใจต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2560 ก่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่าน คำพิพากษาลับหลังจำคุก 5 ปีไม่รอลงอาญาจากความผิดในโครงการรับจำนำข้าว
แน่นอนว่าการเปิดตัวสู่สาธารณะอีกครั้งกับตำแหน่งผู้บริหารท่าเรือ ซัวเถา อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความสามารถอันเป็นที่ยอมรับ ตลอดจน อำนาจ บารมีหรือสายสัมพันธ์อันดีกับจีน อันจะช่วยลบภาพ ผู้ต้องหาที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จากโครงการรับจำนำข้าว
ยังไม่รวมกับรายงานข่าวจาก "เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์" ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชา เดินทางออกจากประเทศไทยและต่อไปยังประเทศที่สาม หลังจากหลบหนีคดีรับจำนำข้าวที่ประเทศไทย
ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์และการยอมรับจากกัมพูชาที่ยังเหนียวแน่นกับตระกูลชินวัตร แม้แต่ในช่วงที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ
การเปิดตัวของยิ่งลักษณ์ในช่วงเวลานี้ย่อมถูกมองว่าเป็นการดิ้นเฮือกใหญ่ เมื่อช่วงเวลานี้กระบวนการ ไล่เช็กบิลเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าวกำลังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ และแว่วว่ามีอีกหลายคนที่กำลังอยู่ในข่ายจะถูกเอาผิด
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าลึกๆ แล้วเป็นยุทธศาสตร์ที่หวังดิสเครดิตโครงการรับจำนำข้าวอันจะหวังผลไปถึงคะแนนนิยมในช่วงการ เลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ยิ่งในวันที่พรรคเพื่อไทยซึ่งกำลังสะบักสะบอมจากแรงดูดอันรุนแรง และผลกระทบจากกติกาการเลือกตั้งใหม่จนทำให้ต้องแก้เกมด้วยการแตกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่เพื่อเฉลี่ย น้ำหนักให้ได้สัดส่วน สส.บัญชีรายชื่อจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมให้ได้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้
การปรับทัพให้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มานั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มานั่งเป็นหัวหน้าคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง จึงถือเป็นการจัดที่จัดทางภายในให้เกิดความเป็นเอกภาพและลดความขัดแย้งภายในไม่ให้เป็นปัญหาต่อไป
ยิ่งในวันที่กระแสของพรรคพลังประชารัฐกำลังมาแรงสอดรับไปกับแพ็กเกจนโยบายลดแลกแจกแถมที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้คะแนนนิยมของเพื่อไทยเริ่มสั่นคลอนไป ไม่น้อย
ความพยายามดึง ทักษิณ กลับมาเป็นแม่เหล็กเรียกคะแนน จึงวนกลับมาอีกรอบ แต่ยังไม่ทันเริ่มต้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ออกมาตีกรอบรูปแบบการหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามใช้รูปทักษิณ ร่วมกับ ผู้สมัครเหมือนในอดีต
รวมไปถึงแคมเปญพาทักษิณกลับบ้าน ซึ่งสุดท้ายส่อเค้าจะไปไม่ถึงฝั่ง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจาก คสช. พร้อมยืนยันหากกลับมาก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างไม่อาจ หลีกเลี่ยง
นำมาสู่การทิ้งระเบิดลูกใหญ่ของ ทักษิณ พุ่งเป้าถล่มไปยังจุดอ่อนสำคัญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนาฬิกาหรูอย่างต่อเนื่อง
"ป้อมบอกให้ผมกลับเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ทั้งๆ ที่ป้อมส่งคนของป้อมเข้าไปนั่งทั้งนั้น ผมว่าป้อมทำเรื่องของตัวเองให้เคลียร์ดีกว่าไหมครับ เอาเด็กหน้าห้องป้อมออก แล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาพิจารณาเรื่องนาฬิกายืมเพื่อนแทน เพราะกระบวนการยุติธรรมแบบป้อม มันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้วครับ"
แน่นอนว่าการที่ ทักษิณ พุ่งเป้าโจมตี เรื่องนาฬิกา ของบิ๊กป้อม ย่อมสามารถสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของ คสช. ได้อย่างรุนแรง และกระทบต่อไปถึงคะแนนนิยมของพรรคพลัง ประชารัฐ และฉุดกระแสความร้อนแรงของบรรดานโยบายซื้อใจรากหญ้าที่กำลังเริ่มเห็นผลในหลายพื้นที่
ที่สำคัญการเปิดประเด็นนี้ยังสั่นคลอนไปถึงความน่าเชื่อถือของบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายไล่มาตั้งแต่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารของบรรดาผู้มีอำนาจ และยังมีอีกหลายคดีสำคัญที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
ปัญหาอยู่ตรงที่มาของบรรดาองค์กรอิสระเหล่านี้ มีจุดกำเนิดมาจาก คสช. ไม่ใช่แค่ ป.ป.ช. แต่ยังรวมไปถึง กกต.ที่จะมีบทบาทสำคัญในการจัดการเลือกตั้ง หากไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมย่อมมีแต่จะทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในอนาคต
สัญญาณการเดินหน้าชน กับ คสช. จึงเริ่มปรากฏและคาดว่าต่อจากนี้น่าจะมีอีกหลายยกที่หนักหน่วงและรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะกับในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งที่แต่ละฝ่ายต่างก็ต้องการชัยชนะ