posttoday

ปิดทางต่างชาติสังเกตการณ์ ยิ่งฉุดเชื่อมั่นเลือกตั้ง

19 ธันวาคม 2561

เกิดแรงเสียดทานทันทีหลัง รมว.ต่างประเทศ ออกมาส่งสัญญาณไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้องค์กรต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์เลือกตั้ง

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

แรงเสียดทานก่อตัวขึ้นทันทีหลัง  ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ออกมาส่งสัญญาณไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้องค์กรต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์เลือกตั้งในประเทศไทย จนนำไปสู่ความกังขาถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นไปเพราะอะไรมีเบื้องหน้า เบื้องหลังอะไรที่ไม่อยากให้ต่างชาติ เข้ามาเห็นหรือไม่

ล่าสุด รมว.ต่างประเทศ ออกมาชี้แจงในประเด็นนี้อีกครั้งว่าในฐานะที่มีประสบการณ์กับต่างประเทศ ซึ่งมองว่าหากประเทศใดขอติดต่อเข้ามาสังเกตการณ์ แสดงให้เห็นว่าประเทศนั้นมีปัญหา ซึ่งการเลือกตั้งครั้งแรกนี้ ต้องการให้เป็นไปอย่างราบรื่น เป็นมงคลฤกษ์ที่เราดูแลกันเองได้เพราะ    มีประสบการณ์

ทั้งนี้ เชื่อว่าดูแลบ้านเมืองของเราเองได้ โดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม  ไม่ต้องมีต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง  เราควรใช้โอกาสที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ด้วยการให้คนไทยเข้ามาร่วมในการสังเกต การณ์ แต่ถ้าไม่พอใจหรือไม่เชื่อใจ คนไทย ก็ให้สถานทูตต่างประเทศในประเทศไทยเข้ามาร่วม เท่านี้ก็น่าจะตอบโจทย์แล้ว

"ขอย้ำว่าเรามีประสบการณ์และกระบวนการก็โปร่งใสอยู่แล้ว มีความพร้อมที่จะจัดการเลือกตั้ง และการที่ผมพูดไปทั้งหมดเป็นไปตามหลักการ  ดังนั้นอย่ามาถามว่ามีใครติดต่อเข้ามาสังเกตการณ์กี่ราย และผมไม่ได้ห้าม ไม่ให้มีการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง" ดอน กล่าว

ทว่า คำชี้แจงดังกล่าวดูจะยังไม่อาจสลายความกังวลในประเด็นเงื่อนงำความไม่โปร่งใส ให้หมดไปแต่อย่างไร โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่ผ่านมาหลายเรื่องชวนให้สงสัยได้ถึงความพยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกับพรรคการเมืองบางพรรค

ต่อเนื่องไปถึงเงื่อนงำเรื่องแนวคิดในตอนแรกที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะใช้บัตรเลือกตั้ง แบบที่มีเพียงตัวเลข ไม่ระบุชื่อ และ โลโก้พรรคการเมือง ด้วยเหตุผลเรื่องการจัดพิมพ์และการส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งต่างประเทศที่จะมีปัญหาไม่ทันเวลา

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความพยายามชิงความได้เปรียบของพรรคการเมืองใหม่บางพรรคซึ่งยังไม่ทันเป็นที่รู้จักของประชาชน จนพรรคขนาดใหญ่และขนาดกลาง เรียงหน้าออกมาดักคอและเรียกร้องให้แก้ไขให้มีชื่อพรรคและโลโก้พรรค

อันจะเป็นไปตามหลักการสากล และช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการตัดสินใจเลือก ผู้สมัคร สส. ประกอบกันทั้งตัวผู้สมัคร และพรรคที่สังกัด รวมทั้งยังป้องกันความสับสนในการเข้าคูหาลงคะแนนได้อีกทางหนึ่งด้วย

จนล่าสุด กกต.ต้องตัดสินใจกลับมามีมติเห็นชอบปรับเปลี่ยนให้บัตรเลือกตั้งมีชื่อและโลโก้ของพรรคการเมืองตามเสียงเรียกร้อง  อันช่วยแก้ปัญหาเรื่องแรงเสียดทาน     ที่ก่อตัวมากขึ้นในระยะหลัง จนถึงขั้นกระทบไปถึงความเชื่อมั่นต่อการ เลือกตั้งและอาจเป็นชนวนนำไปสู่การไม่ยอมรับผลของการเลือกตั้งที่กำลัง จะเกิดขึ้นต่อไปได้

ไม่ต่างจากรอบนี้การที่ไม่อยากให้องค์กรต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์ การเลือกตั้ง ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความพยายามปกปิดหรือซ่อนงำสิ่งใดไว้หรือไม่
         

ดังจะเห็นจากที่พรรคการเมืองต่างๆ ออกมาตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามปิดบังอะไรหรือไม่ พร้อมเรียกร้องถ้าหากบริสุทธิ์ใจก็ควรเปิดให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์ เพื่อจะทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้บริสุทธิ์ยุติธรรม และเป็นการยอมรับในเวทีโลก

อีกทั้งการหยิบยกเหตุผล เทียบเคียงไปถึงการที่ประเทศอื่นให้ต่างชาติเข้าไปสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เพราะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศ จึงอาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอหากมองต่อไปถึงผลกระทบที่จะได้รับในทางปฏิบัติก็เป็นได้

อย่าลืมว่าการเลือกตั้งครั้งนี้กำลังเป็นที่จับจ้องของคนทั่วโลกไม่ใช่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น โดยเฉพาะกับบริบททางการเมือง ซึ่งไทยอยู่ในสถานะที่ปกครองโดยรัฐบาลซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนานกว่า 4 ปี และมีการขยับปรับเปลี่ยนโรดแม็ปเลื่อนเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งในวันที่กรอบกติกาเลือกตั้ง ถูกออกแบบโดยแม่น้ำ 5 สายซึ่งมีที่มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมไปถึงองค์กรอิสระที่จัดการเลือกตั้งอย่าง กกต.ก็มาจากกลไกการสรรหาในช่วงที่ คสช.มีอำนาจ และ   ที่ผ่านมายังถูกตั้งข้อสังเกตถึงการเป็นอิสระในการทำหน้าที่

การจะปล่อยให้ความเคลือบแคลงนี้เกิดขึ้นและคงอยู่ย่อมไม่เป็นผลดีกับพรรคที่จะชนะการเลือกตั้งในอนาคต และอาจบานปลายไปถึงการออกมาฃต่อต้านไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่มีแต่จะยิ่งสร้างปัญหาในระยะยาว อันจะมีแต่เสียมากกว่าได้

เงื่อนไขสำคัญเวลานี้คือต้องการทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นที่ยอมรับทั้งจากในประเทศและต่างชาติ ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่อิสระและยุติธรรม ซึ่งจะเป็นประตูสำคัญในการก้าวผ่านไปสู่ระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงอีกครั้ง

หากขาดซึ่งความเชื่อมั่นและยอมรับย่อมไม่เป็นผลดีอันจะฉุดให้ เส้นทางสู่สถานการณ์ปกติของประเทศต้องมืดมนลงไปอย่างน่าเสียดาย