posttoday

ปมบัตรเลือกตั้ง เติมพลังฝ่ายตรงข้าม

11 ธันวาคม 2561

ปัจจัยชี้ขาดว่าพรรคการเมืองใดจะแพ้หรือชนะในการเลือกตั้ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคการเมืองหรือตัวบุคคลที่เป็นผู้นำของพรรคเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับกระแสและอารมณ์ของสังคมในเวลานั้นด้วย

ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ในที่สุดการเลือกตั้งก็มีความชัดเจนเสียที ภายหลังการประชุมแม่น้ำ 5 สายร่วมกับตัวแทนพรรคการเมืองเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนยันว่าการเลือกตั้งของประเทศไทยจะมีขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. 2562

ส่งผลให้เกิดกระแสขานรับพอสมควร เพราะการประกาศยืนยันชัดเจนขนาดนี้แล้ว น่าจะเชื่อมั่นได้ว่ารอบนี้ไม่มีทางบิดพลิ้วอย่างแน่นอน เหลือแต่เพียงรอเวลาการปลดล็อกการเมืองเพื่อนำไปสู่การหาเสียงเท่านั้น

ทุกอย่างกำลังเดินมาได้ด้วยดี และบรรยากาศการเมืองน่าจะชื่นมื่น ปรากฏว่าดินฟ้าอากาศจะกลับมาแปรปรวนอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอให้มีบัตรเลือกตั้งแบบที่ไม่มีโลโก้พรรคการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ออกมาจากการเปิดเผยของ "สรอรรถ กลิ่นประทุม" แกนนำพรรคภูมิใจไทยที่เข้าร่วมประชุมในวันนั้น

ถ้าจะว่ากันตามข้อเท็จจริง จะพบว่าบัตรเลือกตังในแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอนั้นไม่ได้เป็นนวัตกรรมใหม่ของการเลือกตั้งแต่อย่างใด

ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งเมื่อปี 2557 จะพบว่าบัตรเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งก็มีแต่หมายเลขเท่านั้น แต่บัตรเลือกตั้ง สส.ระบบบัญชีรายชื่อจะมีทั้งหมายเลขและพร้อมกับโลโก้ของพรรคการเมืองปรากฏอยู่ในบัตรเลือกตั้ง

ดังนั้น หากจะบอกว่าไอเดียของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เกินเลยกว่าความเป็นจริงเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของการเลือกตั้งในปี 2557 กับการเลือกตั้ง 2562 ที่กำลังจะมาถึง เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง

เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ใช้บัตรเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเพียงใบเดียวที่เลือกทั้ง สส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและ สส.บัญชีรายชื่อไปในคราวเดียวกัน ต่างจากเดิมที่ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบในการเลือก สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและ สส.บัญชีรายชื่อ

ยิ่งไปกว่านั้นใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ยังกำหนดยกเลิกระบบพรรคเดียวเบอร์เดียวหาเสียงทั่วประเทศอีก ซึ่งจากเดิมที่พรรคการเมืองใดได้หมายเลขผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อเบอร์ใดแล้ว ก็สามารถนำหมายเลขนั้นไปหาเสียงทั่วประเทศได้ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและ สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มองในมุมนี้ จึงไม่แปลกที่ไอเดียของ พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบกันในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีประโยชน์ขัดกันอีก เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อเข้าชิงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

จากตรงนี้เอง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไปโดยปริยาย

"ประเทศส่วนใหญ่ในโลกจะออกแบบบัตรเลือกตั้งให้ผู้มาใช้สิทธิเข้าใจง่าย คนอ่านหนังสือไม่ได้ก็จะมีโลโก้ที่เป็นภาพชัดๆ ให้สังเกตแทน เพื่อที่จะได้เลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ต้องการเข้าไปบริหารประเทศ แต่ประเทศไทยกลับจะทำให้คนสับสน" ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุ

กระแสท้วงติงไม่ได้มีเพียงแค่พรรคการเมืองเท่านั้น เพราะแม้แต่นักวิชาการหลายคนก็ยังต้องข้อสังเกตถึงบัตรเลือกตั้งเช่นกัน

ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของ อาจารย์สิริพรรณ นกสวน สวัสดี จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

"การเลือกตั้งครั้งนี้ บัตรใบเดียว เลือกทั้ง สส. พรรคการเมือง และผู้ที่พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หากกาผิด บัตรเลือกตั้งนั้นจะไม่ถูกนับเป็นบัตรเสีย แต่จะกลายเป็นบัตรที่เลือกผู้สมัครคนอื่น พรรคอื่น และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนอื่น ที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของผู้เลือก...มาตรการให้พรรคในแต่ละเขตมีคนละเบอร์ ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นต้องมีโลโก้และชื่อพรรคบนบัตรเลือกตั้ง"

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลานี้สถานะทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะกำลังเปลี่ยนจากผู้ควบคุมความสงบตามชื่อ คสช.มาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกฯ แน่นอนว่าทุกย่างก้าวของอดีตนายทหารใหญ่รายนี้ย่อมถูกจับจ้องจากทั้งมิตรและศัตรู

ที่สำคัญ เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังพยายามขยายแผล พล.อ.ประยุทธ์ ให้ใหญ่มากขึ้นไปทุกที ดังจะสังเกตได้จากนับตั้งแต่มีการประกาศเขตเลือกตั้งออกมาที่บางเขตเลือกตั้งในบางจังหวัดมีลักษณะแปลกๆ ไปพอสมควร

ปัจจัยชี้ขาดว่าพรรคการเมืองใดจะแพ้หรือชนะในการเลือกตั้ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคการเมืองหรือตัวบุคคลที่เป็นผู้นำของพรรคเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับกระแสและอารมณ์ของสังคมในเวลานั้นด้วย

พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะสองพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมาอย่างโชกโชน รู้ถึงสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี ถึงได้ออกมาขย่ม พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อสร้างกระแสและทิ้งเชื้อไฟเอาไ้ว

สนามจริงอาจจะยังไม่เริ่ม แต่ดูเหมือนว่าแค่เกมอุ่นเครื่องพรรคพลังประชารัฐก็กำลังจะเพลี่ยงพล้ำเสียแล้ว