posttoday

โค้งสุดท้าย คสช. ทุ่มหน้าตักชิงเลือกตั้ง

01 ตุลาคม 2561

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทุกปัจจัยเอื้อและสนับสนุน "พล.อ.ประยุทธ์" จนกล่าวได้ว่าไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนได้เปรียบเท่านี้มาก่อน

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทุกปัจจัยเอื้อและสนับสนุน "พล.อ.ประยุทธ์" จนกล่าวได้ว่าไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนได้เปรียบเท่านี้มาก่อน

*****************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

พลันที่เข้าสู่วันที่ 1 ต.ค. เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นจุดเริ่มของปีงบประมาณใหม่ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่มีวงเงินงบประมาณ 3 ล้านล้านบาท แต่ปีงบประมาณใหม่ครั้งนี้มีความสำคัญและความหมายกว่าทุกครั้ง เนื่องจากจะเป็นปีงบประมาณสุดท้ายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในปี 2562

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้พุ่งไปที่การเลือกตั้งอย่างเต็มตัว ภายหลังหลายปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ลดลงเป็นระยะ โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44 แก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อให้ใช้ระบบคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร สส. ในการเลือกบุคคลมาเป็นผู้สมัคร สส. แทนการทำไพรมารีตามกฎหมายพรรคการเมืองฉบับเดิม

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ก็ยังเป็นบวกต่อการเลือกตั้งด้วย ดังจะเห็นได้จากการออกมายอมรับว่าให้ความสนใจงานการเมือง เพื่อเข้ามาสานงานการปฏิรูปประเทศของตัวเองให้ลุล่วงเสมือนแนวทาง 4 ปีซ่อม 4 ปี สร้างในสมัยรัฐบาลทักษิณ

การประกาศท่าทีการเมืองของนายกฯ ค่อนข้าง ทำให้บรรยากาศการเมืองที่ซบเซามานานเกิดการตื่นตัวขึ้นมาทันที มีทั้งเสียงสนับสนุนที่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงในสนามเลือกตั้งเพื่อเข้ามาเป็นนายกฯ ตามระบบจากการเลือกตั้ง และเสียงคัดค้านให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง หากถึงที่สุดแล้วตัวเองจะสวมสูทการเมืองหาเสียงเลือกตั้งจริงๆ เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมือง

ทว่า สำหรับข้อเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เพราะคนในรัฐบาลต่างออกมาประสานเสียงเป็นแนวทางเดียวกันว่าไม่จำเป็นต้องลาออกในทางกลับกัน พล.อ.ประยุทธ์ จะยังคงมีอำนาจเต็ม 100% ด้วยซ้ำ แม้ในอนาคตจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งแล้วก็ตาม

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ คสช.และคณะรัฐมนตรี มีอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ต่างจากรัฐบาลปกติที่จะตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดในการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญในระหว่างมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง

ดังนั้น เมื่อ คสช.ไม่ได้มีข้อจำกัดการใช้งบประมาณและทรัพยากรของรัฐเหมือนกับรัฐบาลปกติ แน่นอนว่าทันทีที่เข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ด้วยเงิน 3 ล้านล้านบาท อันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นการใช้งบประมาณและการผลักดันโครงการขนาดใหญ่อีกจำนวนไม่น้อย เพื่อมัดใจประชาชนให้เทคะแนนให้กับรัฐบาล

“กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังเดินหมากการเมืองอย่างแยบยล

กองทุนประชารัฐฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อการยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม โดยเมื่อไม่นานมานี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งได้รับหลักการของร่าง พ.ร.บ.การจัดประชารัฐสวัสดิการ เพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการและสำนักงานเข้ามาบริหารอย่างเป็นระบบ

เพียงแค่นี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลตั้งความหวังกับโครงการประชารัฐไว้ค่อนข้างสูง เพื่อมาสู้กับประชานิยม

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าคำว่า “ประชารัฐ” เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลได้ผลิตซ้ำมาตลอดในช่วง 1-2 ปีมานี้ เพื่อเอามาต่อสู้กับ “ประชานิยม” ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน

ประชานิยมอยู่กับคนไทยมาเป็นเวลาร่วม 10 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ยิ่งไปกว่านั้นพรรคการเมืองอื่นๆ ก็พยายามลอกเลียนแนวทางของการใช้นโยบายประชานิยมเช่นกัน

จึงเป็นสถานการณ์ที่บีบให้รัฐบาลและ คสช.ต้องงัดทุกกลเม็ด หากจะหวังเป็นผู้ชนะในสนามนี้

ไม่เพียงแต่โครงการประชารัฐจะเป็นแกนหลักของการหาเสียงเท่านั้น แต่อภิมหาโครงการอย่าง “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” หรืออีอีซี ก็จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะใช้สำหรับการเรียกคะแนนนิยมทางการเมืองเช่นกัน

นับตั้งแต่ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกมีผลใช้บังคับ ปรากฏว่ารัฐบาลก็พยายามขับเคลื่อนโครงการนี้เป็นระยะ เช่น การเร่งผลักดันผังเมืองในภาคตะวันออกเพื่อแบ่งพื้นที่อุตสาหกรรมและเมืองใหม่ให้ชัดเจน ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่เกิดได้ยากภายใต้รัฐบาลปกติ

เมื่อโครงการใหญ่ได้เกิดขึ้น หลังจากมีปัญหาเสถียรภาพการเมืองมานาน ตรงนี้เองอาจเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้กลุ่มทุนเศรษฐกิจใหญ่ให้มาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ โดยหวังว่าหาก คสช.ชนะเลือกตั้งแล้ว จะช่วยให้โครงการใหญ่มีความต่อเนื่องพร้อมกับมีโครงการใหม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก

ทุกปัจจัยเอื้อและสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนได้เปรียบเท่านี้มาก่อน คราวนี้ก็เหลือแต่เพียงประชาชนแล้วว่าจะเทใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่เท่านั้น