posttoday

พท. ปั้นพรรคสำรอง กลยุทธ์หมากสองชั้น

28 กันยายน 2561

สถานการณ์ความสุ่มเสี่ยงของพรรคเพื่อไทย ทำให้หลายคนออกอาการ "เสียวสันหลัง" กับเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่การ "ยุบพรรค" จนเริ่มเห็นการ เตรียมแผนสำรองไว้รับมือกับเหตุการณ์ล่วงหน้า

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สถานการณ์ความสุ่มเสี่ยงของพรรคเพื่อไทย ทำให้หลายคนออกอาการ "เสียวสันหลัง" กับเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่การ "ยุบพรรค" จนเริ่มเห็นการ ตระเตรียมแผนสำรองไว้รับมือกับเหตุการณ์ล่วงหน้า

ต้นตอของเรื่องมาจากการขยับของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงความคิดความเห็นอันคาบเกี่ยว และอาจถูกมองได้ว่าเข้าข่ายครอบงำ ชี้นำ กิจกรรมในพรรคการเมือง

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ในมาตรา 28 กำหนดว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใด อันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิก กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม" การฝ่าฝืนย่อมมีโทษถึงขั้นยุบพรรค

เสียงสะท้อนที่ออกมาจากหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นไปได้ยากที่จะเอาผิดพรรคเพื่อไทย เพราะลำพังแค่คำพูดของอดีตนายกฯ และบริบทของเหตุการณ์แวดล้อม ยากจะสรุปได้ว่าเป็นการครอบงำหรือชี้นำพรรคการเมือง

แต่ในช่วงที่สถานการณ์การเมืองไม่ปกติ บางเสียงกลับมองว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องวางแผนสำรองไว้ล่วงหน้า

นำมาสู่การขยับอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นของ "พรรคเพื่อธรรม" และ "พรรคเพื่อชาติ" อันนับเป็นยุทธศาสตร์เดินสองขาที่จะเดินเกมคู่ขนานในสถานการณ์ปกติ และจะเป็นพรรคสำรองหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยในอนาคต

ประการแรก ในสถานการณ์ปกติทั้งพรรคเพื่อธรรมและพรรคเพื่อชาติ จะเป็นกำลังเสริมที่คอยอุดช่องว่างและเติมเต็มคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ให้กับพรรคเพื่อไทย ที่ประเมินว่าจะสามารถกวาด สส.ระบบเขตจากการเลือกตั้งได้เป็นกอบเป็นกำ

แต่ด้วยระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ทำให้เมื่อนำมาคำนวณตามสูตรที่กำหนดเป็นกติกาไว้แล้ว โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนมากควบคู่ไปกับ สส.เขตนั้นเป็นไปได้ยาก

การกระจายน้ำหนักเกลี่ยคนมายังพรรคเพื่อธรรมและพรรคเพื่อชาติ ที่จะรับหน้าที่เป็นกองหนุนให้พรรคเพื่อไทย ย่อมจะทำให้พรรคดังกล่าว ซึ่งไม่ได้ชนะเลือกตั้งระบบ สส.เขต แต่เมื่อคำนวณคะแนนที่ได้ก็พอจะได้ สส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์ไม่มากก็น้อย

ยิ่งหากพิจารณาลงไปในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ จะพบว่าเกิดสภาพว่าที่ผู้สมัครล้นพรรค จากระบบเดิมที่เคยมีทั้งบัญชีหนึ่ง บัญชีสอง บัญชีรัฐมนตรี บัญชีผู้ช่วย เมื่อต้องมารวมกันเหลือบัญชีเดียวเพื่อลงสนามเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีที่นั่งเพียงพอกับบุคลากรที่มีอยู่

ขณะที่บางส่วนก็ไม่อยากไปเสี่ยงลงปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งมีโอกาสได้น้อยกว่าระบบเขต การเกลี่ยคนไปพรรคสำรองย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุด ดีกว่าจะปล่อยให้เกิดสภาพแออัดจนเป็นช่องโหว่ให้เกิดการ "ดูด" จากพรรคอื่น

ชัดเจนแล้วในส่วนของ "พรรคเพื่อธรรม" ซึ่งวางตัว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ มานั่งเป็นหัวหน้าพรรค พร้อมมีกำลังเสริมเป็น  เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่อาจส่งลูกชายลงมาประเดิมสนามการเมืองเรียกคะแนนจากคนรุ่นใหม่อีกด้วย โดยทางพรรคจะจัดประชุมครั้งแรกที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยจะมีอดีต สส.บางส่วนจากภาคเหนือและอีสานไปเสริมทัพ และเริ่มต้นทำพื้นที่จริงจังต่อไป

ประการที่สอง ยุทธวิธีนี้ยังช่วยลดแรงเสียดทานที่จะเกิดขึ้นกับการหาเสียงในอนาคต เพราะเป้าใหญ่ที่จะถูกจับจ้องเป็นพิเศษย่อมอยู่ที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะคู่แข่งคนสำคัญที่จะต้องขับเคี่ยวกับ คสช. เพื่อช่วงชิงเสียงในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้น การแตกพรรคออกไปหาคะแนนแบบคู่ขนานย่อมทำให้พรรคใหม่ไม่ถูกเพ่งเล็งหรือเผชิญแรงเสียดทานมากเท่ากับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ใช่ฐานอันเข้มแข็งของพรรคเพื่อไทย และทำให้โอกาสที่พอจะขอแบ่งคะแนน จนสามารถแทรกตัวได้เก้าอี้ สส.บัญชีรายชื่อนั้นทำได้ง่ายขึ้น

ประการที่สาม ในกรณีหากเกิดพรรคเพื่อไทยถูกยุบขึ้นมาจริงๆ กระบวนการต่อสู้ก็ยังสามารถดำเนินได้ต่อไปแบบไม่สะดุด เพราะมีทั้งพรรคเพื่อธรรม รวมทั้งพรรคเพื่อชาติ ที่มีขุมกำลังจากคนเสื้อแดงเป็นกลไกขับเคลื่อน ซึ่งซุ่มทำพื้นที่มาได้ระยะหนึ่งแล้ว

แต่ทว่าโอกาสที่จะเดินหน้าไปถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทยจริงๆ นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะหลักฐานที่จะไปพิสูจน์ยืนยันกรณีคนนอกไปครอบงำ ชี้นำ พรรคการเมืองนั้นยังอาจไม่ชัดเจนเพียงพอ รวมทั้งอาจกลายเป็นชนวนให้ถูกโต้กลับถึงการเข้าไปชี้นำหรือครอบงำพรรคพลังประชารัฐจากบุคคลภายนอก

ดังนั้น แม้การยุบพรรคจะเป็นการเตะสกัดขาคู่แข่งคนสำคัญของ คสช. แต่อีกด้านหนึ่งอาจนำไปสู่กระแสตีกลับ กลายเป็นการสร้างคะแนนสงสารที่จะเทไปให้กับบรรดาพรรคสำรองที่เตรียมไว้รองรับ

หากย้อนดูในอดีต เมื่อครั้ง ยุบพรรคไทยรักไทย พรรค พลังประชาชนก็ยังกลับมาชนะเลือกตั้ง เช่นเดียวกับเมื่อครั้งยุบพรรค พลังประชาชน ต่อมาพรรคเพื่อไทย ก็ยังกลับมาชนะการเลือกตั้ง

การตั้งพรรคสำรองของเพื่อไทย จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป