posttoday

ปีสุดท้าย คสช. ฝ่าแรงต้านสืบทอดอำนาจ

21 พฤษภาคม 2561

คสช.ในช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเหมือนกับช่วงปลายของรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับมาอย่างชอบธรรม

คสช.ในช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเหมือนกับช่วงปลายของรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับมาอย่างชอบธรรม

******************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ไม่น่าเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเดินทางในสายการเมืองมาครบ 4 ปี ประหนึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่สามารถดำรงความเป็นรัฐบาลได้ครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร

แน่นอนว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนหยัดในเก้าอี้ผู้นำประเทศได้อย่างเข้มแข็ง คือ มาตรา 44 ซึ่งเป็นอำนาจที่สืบทอดมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาจนถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เรียกได้ว่าอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือหัวหน้า คสช.แต่เพียงผู้เดียว

แต่หากจะมองว่ารัฐบาลอยู่ได้ด้วยมาตรา 44 เพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่เป็นธรรมแก่ คสช.มากนัก เนื่องจากด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าแม้ผลงานหลายด้านของรัฐบาลและ คสช.จะไม่เข้าตา แต่เมื่อยังสามารถรักษาความสงบและทำให้การเมืองนิ่งได้ ก็เป็นอีกเงื่อนไขที่ช่วยให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้รับเสียงสนับสนุนอยู่ ถึงขั้นที่มีการสำรวจความคิดเห็นพบว่าต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นนักการเมืองในปัจจุบัน

ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจความคิดประชาชนของนิด้าที่เผยแพร่ว่าประชาชนจำนวน 32% สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกครั้ง เหนือกว่าทั้งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากตัวเลขที่ออกมาทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ หัวใจพองโตไม่น้อยเลยทีเดียว

“ต้องขอบคุณ รวมทั้งโพลต่างๆ และประชาชนที่ได้ตอบแบบสอบถาม แต่วันนี้มุ่งหวังเพียงว่าจะทำอย่างไรจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล และขอยืนยันว่าอยากให้มีการเลือกตั้ง ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ใครจะไปฝืนได้” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

จากคำพูดของบิ๊กตู่ เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าต้องการให้ประเทศนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นคำพูดที่มีนัยว่าตัวเองก็พร้อมจะลงมาเล่นการเมืองตามกติกาเช่นกัน เพื่อเข้ามาสืบทอดอำนาจอีกครั้งโดยหวังให้รากฐานที่ตัวเองวางไว้ออกดอกออกผลอย่างที่หวังไว้

อย่างไรก็ตาม โจทย์ใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ จะทำอย่างไรเพื่อให้ตัวเองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

เดิมทีบรรดาขุนพลหวังจะใช้พรรคการเมืองที่ไม่ได้ฝักใฝ่กับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นฐานสนับสนุน ด้วยการเอาชื่อของ พล.อ. ประยุทธ์ เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อว่าที่
นายกฯ ที่พรรคการเมืองต้องเสนอให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันสมัครเลือกตั้ง หรือไม่ก็รอจังหวะสอง

กล่าวคือหากการเลือกนายกฯ ในรัฐสภารอบแรกตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นไม่อาจกระทำได้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาบุคคลที่อยู่นอกบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองแทน ซึ่งจะเป็นทางลัดที่น่าสนใจของ พล.อ.ประยุทธ์

แต่พอเวลาผ่านไปราวกับ คสช.จะเริ่มบรรลุสัจธรรมทางการเมืองว่าการทำแบบนั้นจะไม่ต่างอะไรกับการยืมจมูกคนอื่นหายใจ เพราะต่อให้ได้เป็นนายกฯ ได้ก็จริง แต่จะไม่สามารถทำงานได้ โดยต้องเจอกับสถานการณ์การต่อรองทางการเมืองแบบไม่มีข้อยุติ

ทั้งนี้ เป็นผลให้กลับมาคิดว่าถ้าจะเป็นนายกฯ ครั้งหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองผ่านการตั้งพรรคการเมืองและให้ สส.เข้าสภามากที่สุด

ด้วยเหตุนี้ คสช.จึงต้องเดินเกมหาเสียงล่วงหน้าหลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การอัดงบประมาณในนาม “ประชารัฐ” ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับที่พรรคไทยรักไทยเคยประสบความสำเร็จเมื่อกว่า 10 ปีก่อน

ไม่เว้นแม้แต่การแสดงพลังดูดอดีตนักการเมืองแถวสองแถวสามเข้ามาร่วมทีม โดยคิดว่าเมื่อมีบรรดาแถวสองแถวสามมาอยู่ด้วย บวกกับพลังอำนาจรัฐที่ คสช.มีอยู่นั้นน่าจะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายที่ 200 คนได้ ซึ่งเพียงพอต่อการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยจำนวนเสียงในสภาประมาณ 300 เสียง จาก สส.ทั้งหมด 500 คน

นอกจากการเดิมเกมการเมืองแล้ว คสช.ยังลงไปถึงองค์กรอิสระด้วย เช่น การส่งกำลังภายในไปยัง สนช.ที่อยู่ในระหว่างการเลือกกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ เป็นต้น ส่วนองค์กรอิสระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่เหลือ เมื่อเห็นชื่อแล้วก็ล้วนแต่มีสายสัมพันธ์กับ คสช.ไม่มากก็น้อยแทบทั้งสิ้น

ดังนั้น การดำรงอยู่ของ คสช.ในช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในปี 2562 จึงเหมือนกับช่วงปลายของรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ต้องทำทุกอย่างและสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง เพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งกลับมาอย่างชอบธรรม

อย่างไรก็ดี การเดินทางในช่วงปลายของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะไปถึงจุดหมายสุดท้ายนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะฝ่ายตรงข้ามต่างรู้ทันหมากเกมนี้ และพร้อมจะแซะไม่ให้ คสช.ไปถึงชัยชนะทุกเวลา