posttoday

พรรค คสช. แผน ‘ประยุทธ์’ รีเทิร์น

10 เมษายน 2561

กระแสสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย กลับมาคึกคักอีกรอบ หลังจากบรรดาพรรคการเมืองต่างทยอยออกมาแสดงตัวประกาศจุดยืน

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ 

กระแสสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย กลับมาคึกคักอีกรอบ หลังจากบรรดาพรรคการเมืองต่างทยอยออกมาแสดงตัวประกาศจุดยืน

ล่าสุด สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดหน้าสนับสนุนบิ๊กตู่แบบเลิกแทงกั๊ก ทำให้คอการเมืองหันมาจับจ้องไปยัง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ว่ากันว่าเป็นตัวจริงเสียงจริง  ท่ามกลางกระแสข่าวการวางตัว อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม  และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ มาร่วมเป็นกำลังขับเคลื่อนพรรค  

สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของสมคิดที่แบ่งรับแบ่งสู้ว่า “ไม่ได้พูดสักคำเรื่องตั้งพรรค หากตั้งพรรค ลูกน้องผมตั้ง ผมแก่แล้วอย่ากังวล ผมปรารถนาดีต่อประเทศชาติ การบริหารประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” 

จากก่อนหน้านี้ ที่เคยระบุว่า “ผมสนับสนุนท่านนายกฯ ประยุทธ์นั่นแหละ ก็เพราะหลายปีที่ผ่านมาเราเคยเห็นความไม่สงบใช่ไหม คุณอยากให้บ้านเมืองกลับไปอย่างนั้นไหม ถ้าบ้านเมืองสงบ แล้วทุกอย่างที่ตามมาดีขึ้น มีการพัฒนาประเทศดีขึ้น มีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น คนมีความสุขมากขึ้นไม่ดีหรือ”

ถอดรหัสคำพูดของสมคิด ยิ่งตอกย้ำ “จุดแข็ง” เรื่องความต่อเนื่องและการสานงานต่อนโยบายที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้ดำเนินการวางรากฐานมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนการรักษาความสงบของประเทศและเชื่อว่าจะถูกนำมาเป็นจุดขายในการหาเสียง  

อันจะเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยเรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้งที่ประเมินแล้วจะเป็นการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มสนับสนุน คสช. และกลุ่มต่อต้าน คสช.

แม้จะไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาล คสช.ทยอยออกนโยบาย ลด แจก แถม มาหลายระลอก จนถูกมองว่าเป็นการเร่งทำคะแนนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 

่ล่าสุด สนช.มีมติเห็นชอบ 3 วาระรวด ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 1.5 แสนล้านบาท ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ 

1.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันประเทศจำนวน 24,300 ล้านบาท 2.ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเติบโตจากภายในจำนวน 76,057 ล้านบาท 3.รายการค่าดำเนินการภาครัฐ จำนวน 49,641 ล้านบาท เพื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลัง

ภายในงบประมาณยังได้มีการแบ่งเงินสำหรับมาตั้งเป็นกองทุนอีกจำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย 1.กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจำนวน 2 หมื่นล้านบาท 2.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจำนวน 13,872 ล้านบาท และ 3.เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชจำนวน 150 ล้านบาท

สอดรับการปั้นโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ที่หวังว่าจะให้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล คสช. อันจะช่วยให้ชาวบ้านติดหูและมีผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในอนาคต 

ดังจะเห็นว่าคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว มีตั้งแต่ระดับชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ รมว.มหาดไทย เป็นเลขานุการ เรื่อยมาระดับจังหวัด ไปจนถึงทีมขับเคลื่อนการพัฒนาระดับตำบล มีข้าราชการและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน และจิตอาสา  

สะท้อนเป้าหมายที่ประกาศต้องการแก้ปัญหาครอบคลุมทุกมิติ เช่น ปัญหาปากท้อง การเกษตร ระบบชลประทาน ถนน ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน

ยังไม่รวมกับอำนาจของ คสช.ที่จะคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนได้รัฐบาลใหม่ อันจะทำให้เกิดสถานะความได้เปรียบพรรคอื่นๆ  รวมไปถึงพรรคที่มีจุดยืนต่อต้าน คสช.

ยิ่งหากประเมินจากกลไกตัวช่วยตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยแล้ว 250 เสียงจาก สว. ที่ คสช.จะเลือกเข้ามานั้นจะมีบทบาทสำคัญกับการเลือกนายกรัฐมนตรี  หากผนึกกำลังกับพรรคที่มาจากคนใน คสช.ด้วยแล้ว ย่อมได้เปรียบบรรดาพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ คสช.

อีกทั้งในเวลานี้มีพรรคการเมืองที่ประกาศตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ หลายพรรค ไล่มาตั้งแต่พรรคประชาชนปฏิรูป มาจนถึงพรรค กปปส. ที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทิ้งปมปริศนาให้รอดู “นวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเมือง”

แต้มต่อที่กลายเป็นความได้เปรียบของฝั่ง คสช.ย่อมดึงดูดให้พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมทั้งพรรคที่ไม่ได้ประกาศจุดยืนอยู่ตรงข้าม คสช. ร่วมเข้ามาผนึกกำลังกับพรรคทหาร    

ที่สำคัญเค้าลางที่เกิดขึ้นย่อมทำให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่เคยสนับสนุนนโยบายประชารัฐและไทยนิยม ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะเลือกเทน้ำหนักสนับสนุนฝั่งใด อันจะยิ่งเป็นปัจจัยเสริมแรงให้กับฝั่ง คสช. ได้เปรียบในการลงสนามเลือกตั้งรอบนี้  

ยิ่งในวันที่ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยยากจะจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาลได้ โอกาสของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะกลับมาเป็นนายกฯ ต่ออีกสมัยย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม