posttoday

ม.44 เสื่อมมนต์ขลัง แรงเหวี่ยงโต้กลับแรง

03 พฤศจิกายน 2560

เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองประชาธิปไตยครึ่งใบ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ 

เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองประชาธิปไตยครึ่งใบ

จริงอยู่แม้ประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังสามารถมีสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองเอาไว้ แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีมาตรา 44 ที่สามารถทำอะไรก็ได้สุดแล้วแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะดำเนินการตามความประสงค์ของตน

ปัจจุบันอำนาจตามมาตรา 44 ที่เคยอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ได้กลายสภาพมาอยู่ในมาตรา 265 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

“ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ...”

เดิมทีมาตรา 44 ในความเข้าใจของคนส่วนใหญ่มีไว้เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคง เพราะต้องยอมรับว่าช่วงแรกๆ ที่ คสช.เข้าบริหารประเทศได้เกิดความไม่สงบหลายครั้ง จึงจำเป็นต้องมีอำนาจพิเศษเพื่อใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาให้ทันกับสถานการณ์

ทว่าทำไปทำมาวัตถุประสงค์ของการใช้มาตรา 44 ก็ถูกแปรเปลี่ยนไป โดยเป็นการนำมาใช้กับการบริหารราชการด้านอื่นๆ มากขึ้นนอกเหนือไปจากการแก้ไขปัญหาความมั่นคง

ดังจะเห็นได้จากการตั้งสารพัดคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการทุจริต หรือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลถูกกดดันจากต่างประเทศ 

แต่ระยะหลังมานี้การใช้มาตรา 44 กลับไปอยู่ที่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเสียเป็นส่วนใหญ่

ช่วงแรกการโยกย้ายด้วยอำนาจพิเศษไม่ค่อยมีปฏิกิริยาโต้กลับมากนัก แต่ระยะหลังเริ่มมีการตอบโต้จากฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากมาตรา 44 ให้เห็นเป็นระยะ

เช่น กรณีการโยกย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างถึงความไม่โปร่งใสของการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งหัวหน้า คสช.ได้ใช้มาตรา 44 ด้วยการเอาผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาข้ามห้วยมาทำหน้าที่เลขาธิการสภา ส่งผลให้เกิดแรงต่อต้านในหมู่ข้าราชการรัฐสภาฝั่งสภา เพราะมองว่าควรให้ลูกหม้อของตัวเองมาทำหน้าที่แทน สุดท้ายต้องมีคำสั่งแก้ไขและให้คนของฝั่งสภามาทำงานเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม 

จนกระทั่งล่าสุดได้เกิดการต่อต้านการใช้มาตรา 44 อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นคลื่นลูกใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะถึงขั้นที่รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกเพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ

เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ให้ วรานนท์ ปีติวรรณ พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน และให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงแรงงาน และให้ อนุรักษ์ ทศรัตน์ พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงแรงงาน และให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางานแทน

ผลของการใช้มาตรา 44 ครั้งนี้ ปรากฏว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน และทีมข้าราชการการเมือง ประกอบด้วย พล.อ.เจริญ นพสุวรรณ ผู้ช่วย รมว.แรงงาน อารักษ์ พรหมณี ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน พล.ท.ธนิต พิพิธวนิชการ เลขานุการ รมว.แรงงาน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งทุกคนทันที

พล.อ.ศิริชัย หรือบิ๊กบี้ เป็นเตรียมทหารรุ่นที่ 13 อีกทั้งยังเป็นน้องรักของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เพราะบิ๊กบี้เมื่อครั้งเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมนั้นก็มาจากการผลักดันของ พล.อ.ประวิตร ในฐานะพี่ใหญ่ 

เหตุใดทำไม เพียงแค่การโยกย้ายข้าราชการถึงกับทำให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงต้องลาออก

ปัจจัยสำคัญอาจอยู่ที่การทำงานแบบล้วงลูกของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เคยรับปากกับนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาเมื่อครั้งเดินทางไปเยือนกัมพูชาช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาว่าไทยจะเร่งรัดในการพิสูจน์สัญชาติของแรงงาน แต่พอเอาเข้าจริงกรมการจัดหางานในฐานะ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ค่อยตอบสนอง พล.อ.ประยุทธ์ เท่าไหร่นัก

ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องใช้มาตรา 44 ลงดาบเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว

แต่อำนาจพิเศษที่สำแดงออกมาเริ่มไม่ศักดิ์สิทธิ์และวัวก็ไม่ได้กลัวเสือเหมือนกับทุกครั้ง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ โดนตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการลาออกของรัฐมนตรี

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ พล.อ.ศิริชัย เริ่มสะสมความไม่พอใจมาเป็นระยะ เพราะหลายครั้งที่รัฐบาลถูกกดดันจากต่างประเทศในเรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ กระทรวงแรงงานมักจะตกเป็นจำเลยเสมอ

จนกระทั่งรอยร้าวมาเกิดปริชัดเจนจากการที่โยก “จรินทร์ จักกะพาก” อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มานั่งในตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน แทน ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดแรงงานคนเก่าที่เกษียณอายุราชการ

การทำเช่นนั้นจะว่าไปแล้วเป็นการทำร้ายจิตใจรุนแรง ทั้งๆ ที่ปกติแล้วการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงจะไม่ทำกันข้ามห้วย เพราะจะทำให้เสียการปกครอง คนที่อยู่เดิมย่อมไม่พอใจเจ้านายใหม่ที่เป็นคนต่างที่ เนื่องจากเป็นการปิดโอกาสการเติบโตของลูกหม้อในหน่วยงานนั้น

ดังนั้น แรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นไม่เพียงจะเป็นโอกาสสำคัญที่นำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้เท่านั้น แต่เหนืออื่นใดอาจเป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำว่ามาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นของขลังอีกต่อไป เพราะจะเป็นเพียงแค่เกราะคุ้มกันหัวหน้า คสช. แต่ไม่ได้ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่อย่างใด