ปชป. ยังโคม่า
สถานการณ์ของประชาธิปัตย์เริ่มมีปัญหา หลังผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ของสถาบันพระปกเกล้า ในโอกาสครบรอบ 19 ปี พบว่าคะแนนนิยมของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ตกลง
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
สถานการณ์ของประชาธิปัตย์เริ่มมีปัญหา หลังผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ของสถาบันพระปกเกล้า ในโอกาสครบรอบ 19 ปี พบว่าคะแนนนิยมของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่สูงสุด คือ ปี 2553 อยู่ที่ 61.6% และปี 2554 ตกลงมาเหลือ 51.2%
ต่ำกว่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นอย่างมาก ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร ได้รับความนิยมถึง 92.9% ในปี 2546 แต่ลดลงมาเหลือ 77.2% ในปี 2549 ก่อนมีการรัฐประหาร
แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหาร ก็ยังได้คะแนนนิยมที่สูงถึง 87.5% ในปี 2558 ก่อนจะตกลงมาที่ 84.6% และ 84.8% รวมทั้ง อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังได้คะแนนนิยม 69.9% ในปี 2555 และตกลงมาเหลือ 63.4% ในปี 2556-2557
ประเด็นนี้ ทาง อภิสิทธิ์ พยายามอธิบายว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรยากาศทางการเมืองที่ทำให้คนไม่เชื่อมั่นองค์กรทางการเมืองทั้งหมด แต่พรรคการเมืองต้องหาทางรื้อฟื้นความศรัทธาจากประชาชนให้ได้ โดยจะชัดเจนมากขึ้นหลังพรรคการเมืองทำกิจกรรมได้
พร้อมกันนี้ ยังมองไปถึงแนวทางการฟื้นศรัทธาประชาชนของพรรค ได้มีการจัดลำดับความสำคัญปัญหาที่ประชาชนหวังพึ่งพรรคการเมือง โดยมุ่งที่เรื่องเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับประชาธิปัตย์ที่จะกอบกู้คะแนนนิยมให้กลับคืนมา ด้วยหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกพรรคประชาธิปัตย์เอง
เริ่มตั้งแต่ประเด็นแรก เอกภาพภายในพรรค สืบเนื่องจากปัญหารอยร้าวระหว่าง กปปส.และประชาธิปัตย์ที่ยังไม่สมานกันดี จนอาจกระทบไปถึงผลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งเกือบจะเป็นพื้นที่ผูกขาดของประชาธิปัตย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ดังจะเห็นว่าที่ผ่านมาจุดยืนทางการเมืองของฝั่ง กปปส.และประชาธิปัตย์ หลายเรื่องไม่ได้คิดอ่านไปทางเดียวกัน จนบานปลายไปสู่วิวาทะกระทบกระทั่งของคนกันเอง
ทั้งจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่ กปปส.ประกาศสนับสนุน แต่ประชาธิปัตย์ คัดค้าน หรือจุดยืนเรื่องของสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ของ กปปส.ที่สั่นคลอนจุดยืนความเป็นหัวหน้าพรรคของอภิสิทธิ์เป็นอย่างมาก
ความแตกต่างในแนวคิดและจุดยืนของทั้ง กปปส.และประชาธิปัตย์ ย่อมทำให้ฐานเสียงซึ่งเดิมเป็นฐานเดียวกันต้องแยกย่อยไปสนับสนุนจุดยืนของแต่ละฝั่ง จนอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเข้ามาเจาะพื้นที่ได้
ประการต่อมา เรื่องผลงานและแนวนโยบายของประชาธิปัตย์ที่ยังไม่โดนใจประชาชน ทั้งในภาพรวมสมัยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายเรื่อง ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยิ่งซ้ำเติมให้ปัญหาปากท้องค่าครองชีพยิ่งทวีความรุนแรง
ที่สำคัญอีกฐานเสียงที่เป็นจุดแข็งของประชาธิปัตย์ คือ พื้นที่ กทม.ที่ผูกขาดตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม.มาหลายสมัยนั้น แต่ปัญหาจากการบริหารงานและยังพัวพันกับเรื่องความไม่โปร่งใสหลายโครงการ ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร สองสมัยที่ผ่านมา กลายเป็นแรงกดดันรุนแรงย้อนกลับมายังประชาธิปัตย์
ประการสำคัญ คือ เรื่อง “ภาพลักษณ์” และปัญหาเชิงโครงสร้างบริหารภายในพรรคที่เคยมีการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปพรรคอย่างจริงจัง หลังพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็เดินไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ยังไม่รวมกับความพยายามแซะอภิสิทธิ์ พ้นเก้าอี้หัวหน้าพรรคที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการให้เกิดการถ่ายเลือดปรับภาพลักษณ์ลงสนามยกใหม่
เมื่อฝั่งตรงข้ามพยายามรื้อฟื้นหยิบยกบาดแผล ตั้งแต่สลายการชุมนุมเสื้อแดงที่มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก มาขย่มหลายระลอก ในระหว่างที่คดีความยังอยู่ระหว่างการพิจารณารอการชี้ขาด
ไปจนถึงภาพลักษณ์ของพรรคช่วงที่ผ่านมา ถูกมองว่าเอนเอียงมาอยู่ฝั่งกองทัพและได้ประโยชน์จากรัฐประหาร กลายเป็นอีกจุดอ่อนที่ถูกหยิบยกมาโจมตี
สถานการณ์เหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้ประชาธิปัตย์ยังไม่อาจหยิบฉวยโอกาสนี้สร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับตัวเองในจังหวะที่คู่แข่งกำลังเพลี่ยงพล้ำ