posttoday

โค้งสุดท้ายสก.-สข. การเมืองใหม่ แผ่ว

27 สิงหาคม 2553

29 ส.ค. นับได้ว่าเป็นวันสำคัญทางการเมืองระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.)

29 ส.ค. นับได้ว่าเป็นวันสำคัญทางการเมืองระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.)

โดย...ทีมข่าวการเมือง

29 ส.ค. นับได้ว่าเป็นวันสำคัญทางการเมืองระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.)

ย้อนดูสถิติที่ผ่านมาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านในเวลานั้นกลับได้รับชัยชนะไปอย่างงดงาม โดยจำนวนเก้าอี้ สก. ทั้ง 57 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ได้ไปถึง 36 คน ไทยรักไทย 17 คน และกลุ่มอิสระอีก 4 คน

มาถึงปี 2553 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการเลือกตั้งเล็กน้อย อันมีผลมาจากประชากรในพื้นที่กรุงเทพฯ สูงมากขึ้น ทำให้ปีนี้มีเก้าอี้ สก.ให้ชิงชัยถึง 61 ที่นั่ง จาก 50 เขตทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วน สข.มีได้ 256 คน

โค้งสุดท้ายสก.-สข. การเมืองใหม่ แผ่ว

ด้วยจำนวนเก้าอี้ที่เพิ่มมากขึ้นย่อมมีผลให้การเลือกตั้งเข้มข้นสูงขึ้นเป็นลำดับ

ที่สำคัญ คือ การเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่เมืองหลวงประเทศไทยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ กทม. เพิ่งผ่านเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อไม่นานมานี้

แน่นอนว่าสนามเลือกตั้งรอบนี้เป็นการแข่งขันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ + พรรคการเมืองน้องใหม่ คือ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแชมป์เก่า พรรคเพื่อไทย ผู้ท้าชิง และ พรรคการเมืองใหม่ ซึ่งตั้งเป้าหมายจะใช้สนามเล็ก กทม. ชิมลางก่อนสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่

มาดูความพร้อมในตอนนี้ต้องยกให้กับ “ประชาธิปัตย์” เพราะได้เปรียบแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลก็เป็นของประชาธิปัตย์ ผู้ว่าฯ กทม. ก็ของประชาธิปัตย์ แถมยังมี สส. ใน กทม. 30 คน ตรงกันข้ามกับ พรรคเพื่อไทย มี สส.กทม. เพียง 6 คน ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง เพราะพรรคมีสถานะเป็นเพียงพรรคฝ่ายค้าน ความได้เปรียบหรือการสร้างกระแสย่อมสู้กับประชาธิปัตย์ลำบาก

ไม่เพียงเท่านี้ รอยด่างสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่จะทำให้แพ้ประชาธิปัตย์คงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างพรรคกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นมาแล้วเมื่อการเลือกตั้งซ่อม สส.กทม. เพราะพรรคเพื่อไทยที่ส่ง “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย ต้องแพ้ให้กับ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ของประชาธิปัตย์

ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นกลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนแนวทางในการหาเสียงเลือกตั้งรอบนี้ ด้วยการลดทอนวาระของคนเสื้อแดงลง แต่แทนที่ด้วยการชูประเด็น “ตรวจสอบถ่วงดุล” การทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.จากประชาธิปัตย์ โดยหวังว่าจะใช้เป็นจุดขายของพรรคในการโกยเก้าอี้เข้าสภาเสาชิงช้า เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจก่อนลุยศึกเลือกตั้งใหญ่ของประเทศในปีหน้า พร้อมกับเป็นการถอนแค้นจากการเลือกตั้งซ่อม สส.กทม.ไปในตัว

การเลือกตั้งสนามเล็กรอบนี้มีความสำคัญกับ “พรรคเพื่อไทย” เป็นอย่างมาก เพราะสถานการณ์ภายในพรรคกำลังเกิดคลื่นใต้น้ำค่อนข้างมาก

สังเกตได้จากการออกเสียงโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ที่เริ่มปรากฏว่า สส.งูเห่าอีก 12 รายออกมา ดังนั้นหากให้พรรคเพื่อไทยจมอยู่กับความพ่ายแพ้ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ ย่อมจะส่งผลต่อศึกใหญ่อย่างแน่นอน

ส่วน “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการใช้จุดขายอ้อนขอให้เลือก สก. และ สข. ของพรรค เพื่อให้การบริหารงาน กทม. ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติของ กทม. เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาทำได้อย่างรวดเร็วและทันสถานการณ์ภายใต้คำว่า “ทั้งชีวิตเราดูแล แก้เรื่องใหญ่อย่างยั่งยืน และร่วมกันเราทำได้”

รอบนี้ประชาธิปัตย์หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าต้องรักษาฐานของตัวเองเอาไว้ให้ได้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างอำนาจเบ็ดเสร็จบนพื้นที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของ กทม. นัยหนึ่งย่อมเป็นการประกาศให้เห็นว่าประชาธิปัตย์เป็นสินค้าดีในตลาดการเมืองซึ่งจะช่วยสร้างอิทธิพลทางจิตวิทยาให้กับพื้นที่อื่นๆ ด้วย

ขณะที่ “พรรคการเมืองใหม่” ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย น่าจะลำบากกว่าใครเพื่อน เพราะเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ ส่งผลให้การทำงานหนักเพื่อเรียกคะแนนความนิยมต้องเหนื่อยกว่าอีกสองพรรคที่เหลือ เริ่มตั้งแต่ต้องสร้างคำว่าพรรคการเมืองใหม่ให้ติดหูคนเมืองหลวง แต่โจทย์ที่ต้องแก้ให้ได้ คือ ความสัมพันธ์ของพรรคกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

อย่าลืมปรากฏการณ์ต่อต้าน “ทักษิณ” หรือ “นอมินีทักษิณ” ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เรียกว่า “คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ” มีคนที่ไม่เห็นด้วยและเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม พธม. ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการปิดสนามบินสุวรรณภูมิที่ได้สร้างความเสียหายกับประเทศค่อนข้างมาก

ในเมื่อการสู้ในสนามการเมืองนอกสภากำลังแปรเปลี่ยนมาสู่สนามในสภาเสาชิงช้า ย่อมไม่ง่ายกับการปิดสนามบินอย่างแน่นอน เพราะพรรคการเมืองใหม่จะรู้ได้อย่างไรว่าฐานมวลชนคนเสื้อเหลืองใน กทม. จะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของพรรคการเมืองใหม่ ส่งผลให้พรรคการเมืองใหม่เลือกที่จะส่งผู้สมัคร สก. เพียง 40 คนเท่านั้น

ขณะเดียวกัน โครงสร้างของกลุ่ม พธม. ตอนนี้เองก็ยังเริ่มกระจัดกระจายหลังจากแกนนำกลุ่ม พธม. มีความเห็นไม่ลงรอยกันค่อนข้างสูง นับตั้งแต่การถอนตัวในการเป็นผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส.กทม.เขต 6 ของ พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ทั้งๆ ที่มีการวางตัวเอาไว้ตั้งแต่แรก

ใช่ว่าพรรคการเมืองใหม่จะไร้ซึ่งการมี สก. และ สข. มาประดับสภาเสาชิงช้า ดูจากสถิติปี 2549 สนามเล็ก กทม. ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะสองพรรคการเมืองใหญ่เสียทีเดียว เพราะมีผู้สมัครในนามอิสระได้มาถึง 4 คน

นั่นแสดงให้เห็นถึงโอกาสของพรรคทางเลือกที่สามอยู่บ้าง 

ดังนั้น ในภาพสนามการเมือง กทม.ครั้งนี้ จะเป็นการชิงชัยครั้งสำคัญของ 3 พรรคการเมือง บนความหมายที่แตกต่างกัน

พรรคประชาธิปัตย์ ต้องการใช้โอกาสนี้สร้างปรากฏการณ์ชัยชนะถล่มทลายเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ พร้อมกับเป็นการตอกย้ำภาพความล้มเหลวของพรรคเพื่อไทยในฐานะที่เกี่ยวกับเสื้อแดง

ด้านพรรคเพื่อไทยก็ต้องพยายามโกยคะแนนให้มากที่สุดเพื่อล้างข้อหาดังกล่าว ขณะที่พรรคการเมืองใหม่ต้องการหาเวทีแจ้งเกิดให้กับตัวเองก่อนลุยศึกเลือกตั้ง สส. ในปีหน้า แต่ทว่ามาถึงนาทีนี้โอกาสมีที่นั่งในเวทีสนามเล็ก กทม.ริบหรี่

ที่สุดแล้วจะเห็นได้ว่าเส้นทางสู่สภาเสาชิงช้า 2553 ได้กลายเป็นสนามประลองกำลังกีฬาสีการเมือง “เหลืองแดง” แต่ใครจะเข้าวินสมหวังและผิดหวัง วันที่ 29 ส.ค.จะเป็นวันเฉลยคำตอบ