posttoday

"สุวัจน์" วืดเก้าอี้ สะเทือนอนาคตการเมือง

26 มกราคม 2559

พลิกล็อกตกเก้าอี้แบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตนายกลอนเทนนิสฯ เสียตำแหน่งสมัยที่ 8 ให้กับ ​สมบัติ เอื้อมมงคล อดีตนักเทนนิสทีมชาติไทย ไปแบบขาดลอย

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

พลิกล็อกตกเก้าอี้แบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตนายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 7 สมัย เสียตำแหน่งสมัยที่ 8 ให้กับ ​สมบัติ เอื้อมมงคล อดีตนักเทนนิสทีมชาติไทย ไปแบบขาดลอย

หากพิจารณาจากผลการลงคะแนน 35-19 เสียง ​บัตรเสีย 4 เสียง และไม่ประสงค์ลงคะแนน 2 เสียง จะเห็นว่า สมบัติ ชนะแบบถล่มทลายไปด้วยคะแนนเสียงที่เกินครึ่งจากสมาชิกที่มาประชุม 60 สโมสร จากทั้งหมดที่มีอยู่ 62 สโมสร ซึ่งหมายความว่าชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุหรือความบังเอิญ

ที่สำคัญการสูญเสียเก้าอี้นายกสมาคมในครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบในแง่บทบาทหน้าที่ในแวดวงกีฬาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไปถึงคะแนนนิยม ความเชื่อมั่น และอนาคตทางการเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ที่ผ่านมา สุวัจน์ หันมาเอาดีด้านกีฬา และใช้เวทีดังกล่าวเป็นพื้นที่สร้างตัวตน โดยเฉพาะในช่วงที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองไป 5 ปี ไม่อาจเปิดหน้าออกมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมการเมืองต่างๆ ได้ทุกรูปแบบ

แต่ในความเป็นจริงชื่อของ สุวัจน์​ ก็ไม่ได้ห่างหายไปจากสารบบการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา

หลายต่อหลายครั้ง ทั้งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และ สุวัจน์ ยังถูกพูดถึงในบทบาทของพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ถูกมองว่าเป็นตัวแปรทางการเมืองในหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา

แม้คะแนนเสียงของพรรคชาติพัฒนาฯ เองจะไม่ได้มีที่นั่งมากมายจนมีผลชี้นำอะไรได้ แต่ด้วยสถานะที่ไม่ได้อยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งพรรคเพื่อไทย หรือประชาธิปัตย์ ท่าทีของพรรคจึงมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นช่วงการออกกฎหมายนิรโทษกรรม การแก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ

อีกทั้งชื่อของ “สุวัจน์” ยังเคยถูกหยิบยกมาเป็นหนึ่งใน “ตุ๊กตา” เมื่อมีการพูดถึงนายกฯ คนกลาง หลายครั้งหลายหน เพราะต้องการหาคนกลางที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างคู่ขัดแย้งข้างใดข้างหนึ่งชัดเจน

​ท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งของสองขั้วที่รุนแรงและเรื้อรัง​ ยิ่งทำให้ “คนกลาง” เป็นที่ต้องการมากกว่าคนที่จะมาจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

ที่สำคัญด้วยต้นทุนของ สุวัจน์ เป็นนักการเมืองอีกคนหนึ่งที่มีคอนเนกชั่นรอบด้านสามารถเข้าได้กับทุกพรรค แม้จะมีสถานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็ยังคงมีไมตรีกับพรรคฝ่ายค้าน

แถมอาจจะเป็นความโชคดีของ สุวัจน์ ที่ถูกโทษแบนพ้นสนามการเมือง 5 ปี ในช่วงที่สมรภูมิการเมืองดุเดือดเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน การถอยออกไปจากสมรภูมิอย่างถูกจังหวะ จึงทำให้ภาพลักษณ์ไม่บอบช้ำ หรือเอนเอียงยืนหยัดอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งชัดเจน

อีกด้านหนึ่ง สุวัจน์​ เหมือนจะรู้ตัวและพยายามถนอมเนื้อถนอมตัว ไม่ออกมาเคลื่อนไหว หรือมีความคิดความเห็นทางการเมืองมากนัก

บทบาทที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จึงเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมและมหกรรมกีฬาต่างๆ โดยเฉพาะเทนนิส ด้วยบทบาทนายกสมาคมที่ยังทำให้ชื่อของ สุวัจน์ ยังวนเวียนเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ที่ผ่านมาสถานการณ์หลังรัฐประหารที่เคยมีข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ และนายกฯ คนกลาง ชื่อของ สุวัจน์ ก็เป็นอีกหนึ่งรายชื่อที่มีการพูดถึง

แต่ทว่าหลังพลาดเก้าอี้นายกสมาคมสมัยที่ 8 แบบพลิกโผ สถานการณ์ทำท่าจะเปลี่ยนแปลงไป เริ่มตั้งแต่ “บารมี” ที่เคยเบ่งบานวันนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าลดน้อยถอยลงไป

แม้ขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้อดีตนายกสมาคม 7 สมัยต้องมาตกเก้าอี้เที่ยวนี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ท่าทีจาก พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อุปนายกสมาคม ที่ออกมาแสดงความเห็นว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโมฆะโดยเฉพาะมติการเลือกตั้ง เนื่องจากพบมูลเหตุการล็อบบี้คะแนนเสียง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทว่า ความเห็นเรื่องนี้ดูจะไม่มีน้ำหนักมากนัก เพราะเป็นที่ชัดเจนว่า พล.อ.ธวัชชัย สนิทชิดเชื้อกับ สุวัจน์ ​ครั้งหนึ่งยังเคยสวมเสื้อชาติพัฒนาลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ

​อีกด้านหนึ่งตัวแทนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะนายทะเบียน ยังออกมาระบุว่า ไม่พบพิรุธหรือสิ่งผิดสังเกตที่ทำให้เรื่องนี้ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบมากขึ้น

สุวัจน์เองก็ทำได้แค่เพียงแสดงความยินดีกับคณะกรรมการชุดใหม่ และยอมรับในการตัดสินใจของสมาชิก หลังจากนี้ก็จะยังคงช่วยเหลือวงการเทนนิสเหมือนเดิม

ระหว่างนี้คงต้องรอดูว่ากระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะและมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ​

แต่ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาอย่างไร ต่อให้ผลเลือกตั้งเป็นโมฆะและการเลือกตั้งครั้งใหม่ สุวัจน์ ​ถูกเลือกกลับมาเป็นนายกสมาคม แต่ไม่อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และอนาคตทางการเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง​