‘คลาสสิค เกิร์ล’ พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์
หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์ ทายาทยนตรกิจ เจ้าของรถยนต์สปอร์ตสีขาวยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูคันโก้
หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์ ทายาทยนตรกิจ เจ้าของรถยนต์สปอร์ตสีขาวยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูคันโก้
โดย...วราภรณ์
หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์ ทายาทยนตรกิจ เจ้าของรถยนต์สปอร์ตสีขาวยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูคันโก้ที่จอดอยู่หน้าสถาบันออกแบบแฟชั่นและดีไซน์นานาชาติชื่อดังจากอิตาลี อคาเดเมียร์ อิตาเลียนา ในซอยทองหล่อ สาวที่มีสไตล์เฉพาะตัวอย่างชัดเจนในแวดวงไฮโซไซตีเพิ่งคว้าปริญญาตรีด้านการออกแบบที่สถาบันแห่งนี้หมาดๆ หลังจากเสร็จสิ้นการโชว์ผลงานด้านการออกแบบของเธอประจำปี 2554 ในงานนิทรรศการแสดงศิลปนิพนธ์ภายใต้แนวคิด Not in the sky, Not underground คอลเลกชันแรกจากปลายดินสอที่เธอออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจมาจากความอ่อนช้อยของรูปปั้นแกะสลักในประเทศอิตาลีมาออกแบบเป็นชุดพลิ้วไหว กำหนดธีมใช้สีเบจ ซึ่งเป็นสีที่เธอโปรดมากๆ เธอจึงคิดจะนำคำว่า เบจ (Beige) มาตั้งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าและเปิดห้องเสื้อสไตล์พิมพาภรณ์ ที่มีความหวานผสานความสง่า ดูคลาสสิก
ก่อนหน้าที่จะมาเรียนในเมืองไทย พิมพาภรณ์บินไปเรียนด้านการออกแบบที่ London College of Fashion ประเทศอังกฤษศูนย์กลางแห่งแฟชั่นนานถึง 3 ปี แต่ทนคิดถึงบ้านไม่ไหว จึงย้ายกลับมาเรียนเมืองไทยที่สถาบันแห่งนี้ สาวผิงเล่าถึงความชอบด้านแฟชั่นที่ฝังลึกมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยเห็นคุณแม่ที่เคยทำงานสไตลิสต์ที่ช่างแต่งตัว เธอจึงซึมซับด้านแฟชั่นมาแบบไม่รู้ตัว คุณแม่จึงเป็น “แฟชั่น ไอคอน” ของเธอ
“ผิงชอบแต่งตัว เสื้อผ้าล้นตู้ตลอด พอเริ่มสาวชอบเอาเสื้อผ้าของคุณแม่มาใส่เพราะขนาดตัวไล่เลี่ยกัน ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า พอรู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็เลยเลือกเรียนด้านออกแบบ โดยเน้นด้านออกแบบเพราะมีความสุขมากกว่าตัดเย็บ ผิงนึกภาพไม่ออกว่าจะไปทำอะไรนอกจากเป็นนักออกแบบ” เมื่อเรียนจบ พิมพาภรณ์วางเป้าหมายอยากมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ชื่อ เบจ ตามฉายาที่เพื่อนๆ เรียก กำลังทำมาร์เก็ตแพลนอยู่ เพิ่งเริ่มๆ ทำเป็นบริษัทของตัวเอง โดยเธอทำทุกอย่างเองทั้งหมดตั้งแต่คิดแพลนด้านการตลาด จดทะเบียนบริษัท และออกแบบเอง
“ผิงชอบใส่เสื้อผ้าสีครีม น้ำตาลอ่อน และทุกคนจะชอบล้อ เพื่อนๆ เรียกว่าสีเบจเป็นสีของผิง ที่ชอบเพราะใส่สีนี้แล้วมันเข้ากับตัวผิง เสื้อผ้าส่วนใหญ่ในตู้จึงมีแต่สีขาว ครีม ดำ เทา น้ำตาล แต่แบรนด์ไม่ได้ทำแต่สีเบจ แต่จะเป็นสีที่บ่งบอกความคลาสสิกของแบรนด์ เราจะทำเสื้อผ้าหลายสี ผู้หญิงเวลาใส่สีเบจจะดูหรูหรา เป็นโทนสีที่ใส่ได้บ่อยๆ ทุกฤดูไม่ต้องตามเทรนด์ แต่ก็มีสีอื่นๆ ที่อิงกับเทรนด์บ้าง” พิมพาภรณ์บอก
เมื่อต้องวางแผนการตลาดเอง พิมพาภรณ์จึงรู้ว่าในวงการแฟชั่นเมืองไทย มีคู่แข่งค่อนข้างเยอะ เธอจึงคิดอุดช่องโหว่ ด้วยการออกแบบเสื้อผ้าที่ทำให้คนใส่ได้บ่อยๆ สีคลุมโทน ไม่ตามเทรนด์ เสื้อผ้ามีความคลาสสิก มีลูกเล่น มีดีเทล เน้นคัตติง ดีไซน์แปลก เช่น ซ้อนกันหลายเลเยอร์ หรือใช้ผ้ามาต่อกัน ลูกค้าที่จะชอบเสื้อผ้าของผิง คงต้องเป็นคนที่ชอบแฟชั่น ชอบงานศิลปะ เพราะแบบคงออกมาแบบไม่ธรรมดา
“สำหรับธุรกิจ แรกๆ จะมีเฮดออฟฟิศของเสื้อผ้าแบรนด์เบจจะตั้งอยู่ย่านทองหล่อเพราะใกล้บ้าน และจะมีร้านอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 2-3 แห่งก่อน ส่วนเรื่องโกอินเตอร์ อาจนำไปจำหน่ายที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ เกาหลี แต่ต้องรอดูก่อน”
หากถามถึงผลงานของนักออกแบบที่ชื่นชอบ เธอโดนใจกับผลงานของ เฮลมุท แลง เขาทำแบรนด์ของเขา ที่ชอบเพราะชอบงานดีไซน์ของเขา ที่เรียบและเท่ แต่ละคอลเลกชันค่อนข้างมีเอกลักษณ์ อีกยี่ห้อคือ พรีน เป็นแบรนด์ของอังกฤษ แต่มีจำหน่ายอยู่ที่นิวยอร์ก และเดินบนแคตวอล์กระดับโลก เป็นนักออกแบบที่ผลิตเสื้อผ้าไม่เน้นการตลาด ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด “งานออกแบบของพรีนไม่เน้นแมสมาก งานออกแบบของเขามีความซับซ้อนเหมือนงานของผิง จับเดรปเยอะๆ สีก็ประมาณเทา ครีม ดำดูคลาสสิก” พิมพาภรณ์บอก
สำหรับสถานที่ที่นักออกแบบหน้าใหม่ในวงการแฟชั่นคนนี้หาแรงบันดาลใจในการออกแบบ คือ พิพิธภัณฑ์ที่อิตาลี รวมทั้งผู้คนที่กรุงนิวยอร์ก
“ผิงชอบไปอิตาลี นิวยอร์ก ไปซ้ำๆ แบบไม่เบื่อ ส่วนฝรั่งเศสไปบ่อยจนเบื่อแล้ว เพราะตอนเด็กๆ คุณพ่อจะพาไปบ่อยมากจนรู้สึกเบื่อ จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปแต่มิวเซียมก็ได้ แค่ไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหาร ก็สามารถซึมซับงานศิลปะได้แล้ว ชอบมากคือที่ ฟลอเรนซ์ ส่วนสาวนิวยอร์กแต่งตัวกันจัดมาก ดูแค่ผู้คนแต่งตัวก็รู้สึกสนุกสนานแล้ว ทำให้เราต้องอัพเดตแต่งตัวอยู่ตลอด”
สุดท้ายให้พิมพาภรณ์แนะผู้หญิงเกี่ยวกับการแต่งตัวให้ดูดี ผิงแนะว่า อย่าคิดว่าตัวเองเก่งเรื่องแฟชั่น หรืออย่าแต่งตัวเปรี้ยวมาก ควรแต่งตัวเรียบๆ ไว้ก่อน และไปเน้นเครื่องประดับเอา เช่น สร้อย เป็นต้น “อย่างสร้อยของผิง ใช้ได้นานเป็นสิบปี เสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นสีดำต้องซื้อไว้ติดตู้เลย”


