posttoday

ดินถล่ม-น้ำหลากปัญหาใหญ่ต้องรู้เท่าทัน

10 มิถุนายน 2554

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาโลกร้อนทำให้ฤดูกาลในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาโลกร้อนทำให้ฤดูกาลในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก

โดย...ชีวิน ศรัทธา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาโลกร้อนทำให้ฤดูกาลในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก ฟ้าฝนตกต้องไม่ตรงตามฤดูกาล ยิ่งในปีนี้ฝนตกหนักมาตั้งแต่เดือน เม.ย. ทั้งที่เป็นหน้าร้อน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนภัยให้มนุษย์รู้ว่า โลกเรากำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ควรจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร

ปัญหาฝนตกหนักพื้นดินอุ้มน้ำไว้ไม่ไหว จนทำให้ดินภูเขาถล่มพาเอาดิน ก้อนหิน และต้นไม้ลงมาทับบ้านเรือนประชาชนพังเสียหาย กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญ ตัวอย่างดินถล่มในหลายจังหวัดของทางภาคใต้ โดยเฉพาะที่เขาพนม จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ 2 เดือนก่อน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน สูญหาย 3 คน และบาดเจ็บอีก 96 คน ถือเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เหตุการณ์ครั้งนั้นยิ่งกว่าฝันร้าย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝัน ทำให้ประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ตามที่ราบชายเขาหลายจังหวัดเริ่มหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับคนเขาพนมหรือไม่ ยิ่งประชาชนในภาคเหนือซึ่งมีอยู่หลายจังหวัดที่อาศัยอยู่ตามที่ราบเชิงเขา ทางราชการเองก็เห็นความสำคัญของปัญหานี้ พยายามออกประกาศเตือนประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

ดินถล่ม-น้ำหลากปัญหาใหญ่ต้องรู้เท่าทัน

วีระวุธ พรรัตน์พันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนอุทกวิทยาเชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรน้ำภาคที่ 1 บอกว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ถือเป็นความผิดปกติของฤดูกาล ปริมาณน้ำฝนที่สะสมต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าความชื้นในดินหรือค่าเอพีไอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วัดค่าเอพีไอเฉลี่ยที่ 70 โดยมีจุดวิกฤตเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มที่ 150 ปัญหานี้ทางสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กำลังเฝ้าจับตาดูความเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ผ่านสถานีเตือนภัยที่ติดตั้งจำนวน 245 จุด ในพื้นที่เสี่ยง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา ลำปาง ตาก แม่ฮ่องสอน และกำแพงเพชร

ขณะเดียวกันยังเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในหมู่บ้านเสี่ยงกว่า 793 หมู่บ้าน ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กลางน้ำ ท้ายน้ำ รวมทั้งหมู่บ้านที่อยู่ริมสองฝั่งทางน้ำและที่ลาดเชิงเขา หากมีฝนตกต่อเนื่อง วัดปริมาณน้ำฝนสะสมได้ 80 มิลลิเมตรใน 12 ชั่วโมง จะมีการเฝ้าระวังในพื้นที่ดังกล่าวเป็นพิเศษ และหากพบว่าปริมาณฝนสะสมถึง 100 มิลลิเมตร จะมีการประกาศให้มีการอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัยทันที

ขณะนี้สถานีตรวจวัดระดับน้ำของกรมทรัพยากรน้ำที่มีทั้งหมดในภาคเหนือตอนบนเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ โดยมีทีมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบการส่งข้อมูลผ่านคลื่นมือถือ หรือสัญญาณจีพีอาร์เอส พร้อมใช้งานมากกว่า 90% แล้ว แต่ก็ยังมีหมู่บ้านเสี่ยงภัยอีกส่วนหนึ่งที่สัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึง ทำให้ไม่สามารถติดตั้งสถานีวัดระดับน้ำและเตือนภัยได้ ล่าสุด กรมทรัพยากรน้ำกำลังพิจารณาติดตั้งในหมู่บ้านใกล้เคียงที่สามารถสื่อสารแจ้งเตือนภัยถึงกันได้แทน

สัญญาณเตือนภัยที่บ่งบอกว่าจะมีดินถล่ม หรือน้ำป่าไหลหลาก วีระวุธ ให้ความรู้ว่า ต้องคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นทั้งสีของน้ำในลำน้ำ หากเป็นสีแดงตะกอนดินจะต้องระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งต้องสังเกตเสียงของดินเคลื่อนตัวที่จะเป็นสัญญาณของดินถล่ม หากมีเสียงจะต้องอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยทันที อย่างไรก็ตาม ปกติช่วงนี้เป็นช่วงต้นฤดูฝน จะมีฝนตกลงมาไม่มากนัก แต่สภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้มีฝนตกต่อเนื่องและมีปริมาณมากผิดปกติ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยจะต้องติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด

ปัญหาของการเตือนภัยก็มีเหมือนกัน แม้ว่ารัฐบาลจะเตรียมการป้องกันเหตุดินถล่มมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน แต่จะทำให้ประชาชนเชื่อเครื่องเตือนภัย 100% คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด จึงแก้ปัญหาด้วยการจัดหน้าที่ประจำสถานีทุกแห่ง เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับประชาชนในการเฝ้าระวังและเตือนภัยอีกทางหนึ่ง เบื้องต้นติดตั้งเครื่องเตือนภัยไปแล้วกว่า 245 สถานี ควบคุมพื้นที่หมู่บ้านกว่า 621 หมู่บ้าน ซึ่งในภาคเหนือมีหมู่บ้านที่เสี่ยงภัยกว่า 793 หมู่บ้าน

จากผลการศึกษาพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมดินถล่มทั่วประเทศพบว่า มีหมู่บ้านที่มีความเสี่ยงสูงถึงจำนวน 2,370 หมู่บ้าน ซึ่งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในภาคต่างๆ นับวันจะทวีความรุนแรงทำความเสียหายแก่ทรัพย์สินและชีวิตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นโครงการจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) จึงมีความสำคัญ มุ่งเน้นติดตั้งเครื่องมือเตือนภัย โดยใช้ปริมาณน้ำฝนเป็นเกณฑ์ในการเตือนภัย และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่เป้าหมายให้สามารถเฝ้าระวังเตือนภัยชุมชนของตนเองได้

การทำงานของสัญญาณเตือนภัย ใช้ระบบสัญญาณเสียงและแสงในการเตือน โดยสัญญาณเตือนมี 3 ระดับคือ 1.เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ สัญญาณเสียงระดับที่ 1 ดังทุก 20 นาที 2.เตรียมตัวพร้อมอพยพ สัญญาณเสียงระดับที่ 2 ดังทุก 15 นาที และ 3.อพยพ สัญญาณเสียงระดับที่ 3 ดังทุก 3 นาที

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องในหลายจังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ก็ถือเป็นจังหวัดที่มีประชาชนอาศัยอยู่ตามที่ลาดชายเขาเป็นจำนวนมาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผวจ.เชียงใหม่ ได้สั่งการให้อำเภอพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะหมู่บ้านเสี่ยงหลัก 577 หมู่บ้าน จาก 916 หมู่บ้าน ได้เฝ้าระวังภัยธรรมชาติตลอด 24 ชม.แล้ว หลังจากได้รับรายงานว่าหลายอำเภอมีเหตุดินสไลด์เกิดขึ้น และบางแห่งน้ำในคลองธรรมชาติและลำห้วยเริ่มเอ่อสูง เพราะมีปริมาณฝนสะสมหลายวัน

เช่นเดียวกับ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงใหม่ ก็สั่งการให้ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ในแต่ละพื้นที่ทั้งกว่า 800 แห่ง ใน 24 อำเภอของ จ.เชียงใหม่ เฝ้าระวัง เตรียมอุปกรณ์ บุคลากร หน่วยกู้ภัย กู้ชีพ เครื่องจักรไว้ตลอด 24 ชั่วโมง หลังจากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ราบเชิงเขาติดทางน้ำไหล ติดเชิงดอย พื้นที่เสี่ยงต่างๆ

ดินถล่ม-น้ำหลากปัญหาใหญ่ต้องรู้เท่าทัน

อีกทั้งยังให้เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ความพร้อมทุกสัปดาห์ เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดปัญหาจะได้ช่วยเหลือประชาชนได้ทัน รวมถึงเตรียมแผนฝึกการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 แห่ง ไปยังจุดพื้นที่ปลอดภัยได้จัดเตรียมไว้ และเตรียมขอรับการสนับสนุนจากส่วนต่างๆ กรณีเกินขีดความสามารถ โดยเฉพาะมิสเตอร์เตือนภัยที่ต้องทำงานหนักในการเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม หากได้ติดตามข่าวสารในช่วงนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์อากาศในช่วงวันที่ 913 มิ.ย. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยยังมีกำลังแรง จะทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ซึ่งปัญหานี้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน โดยเฉพาะบริเวณ จ.ตาก สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์ ต้องระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากเป็นพิเศษ

เช่นเดียวกับ จ.พิษณุโลก หลังจากมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิษณุโลก ได้สั่งการให้ทางอำเภอส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ อส. เจ้าหน้าที่ อปพร. พร้อมชาวบ้านที่ชำนาญการเดินป่า เดินเท้าไปสำรวจเส้นทางน้ำบนเขาน้ำปาดและเขารักไท โดยสำรวจตั้งแต่ในหมู่บ้านจนถึงจุดต้นน้ำบนยอดเขาว่าตลอดเส้นทางมีต้นไม้ใหญ่ ท่อนไม้ ก้อนหิน กีดขวางทางน้ำหรือไม่ พร้อมสำรวจสภาพความหนาแน่นของดินบนภูเขาว่ามีโอกาสเกิดการสไลด์เกิดการทลายของดินหรือไม่ หากพบว่ามีโอกาสเสี่ยง ก็สั่งให้รื้อสิ่งกีดขวางทางน้ำออก ก่อนเกิดดินโคลนถล่ม พร้อมกับวางแผนในการป้องกันปัญหาตลอดทั้งปี รวมถึงสั่งให้ให้มิสเตอร์เตือนภัยเฝ้าระวังอย่าประมาท ติดตามปริมาณน้ำฝนอย่างใกล้ชิด

ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นได้ทุกเวลานาที ยิ่งในยุคที่มนุษย์มีส่วนเร่งทำให้โลกใบนี้ร้อนมากยิ่งขึ้นด้วยแล้ว ดังนั้นการรู้เท่าทันพิษสงของภัยธรรมชาติแล้วเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ จะผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาได้!!!

ข่าวล่าสุด

BOJ ยังไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย! SET แกว่งตัว เน้นย่อสะสมหุ้นกำไรเด่น