อ่านก่อน...'ทานยาหลังอาหารและดื่มน้ำตามากๆ'
กรุณาอย่าอ่านรวดเดียวตามความคุ้นเคย ไม่อย่างนั้นความหมายจะผิดแผกไป “ทานยาหลังอาหารแล้วดื่มน้ำตามากๆ”
กรุณาอย่าอ่านรวดเดียวตามความคุ้นเคย ไม่อย่างนั้นความหมายจะผิดแผกไป “ทานยาหลังอาหารแล้วดื่มน้ำตามากๆ”
ใช่แล้ว อ่านช้าๆ เน้นๆ... “น้ำตา” ไม่ใช่ “น้ำตาม” และนี่คือหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อชวนฉงนแต่น่าติดตาม เป็นผลงานของ“จิราภรณ์วิหวา”
เป็นผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของจิราภรณ์ ที่แตกหน่อความคิดและกลวิธีนำเสนอจากงานประจำ ที่ทำอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร a day จากวันที่เริ่มเขียนเรื่องแรกไปจนถึงเรื่องสุดท้าย กินเวลายาวนานเกือบ 2 ปี “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเขียนเรื่องสั้นมาก่อนค่ะ และก็ไม่ใช่นักอ่านตัวยงที่รู้ว่าเรื่องสั้นที่ดีเป็นยังไง หรือกระทั่งเรื่องสั้นเขียนแบบไหน แต่งานประจำที่ทำอยู่เป็นงานที่เราต้องใช้ภาษาถ่ายทอดข้อมูลและความจริงออกมาให้สนุกให้ได้ เราก็เลยเอาวิธีคล้ายๆ กันนั้นมาใช้ เพียงแต่เปลี่ยนจากเรื่องจริง จากข้อมูลที่ต้องนำเสนอในรูปแบบนิตยสาร เป็นเรื่องแต่งที่ไม่มีอะไรอ้างอิงได้เลย เป็นการท้าตัวเองนิดๆ แก้เลี่ยนงานที่ทำ ซึ่งก็ได้ผลนะ คนอ่านสนุกหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนเขียนสนุกมาก”
“สิบสองเรื่องสั้นบำบัดสำหรับคนไม่ถนัดการฟูมฟาย” คำโปรยบนหน้าปกหนังสือ ที่เนื้อในได้นำเสนอถึงความสัมพันธ์ของคนในรูปแบบที่ดำเนินแตกต่างกันไป ทว่าที่คืบคลานไปอย่างช้าๆ อึดอัด สับสน งุนงง สุขจริงสุขเทียมยังทับซ้อนกันอยู่ จนถึงคลี่คลายปลายทางซึ่งสุขทุกข์ยังเป็นคำตอบหนึ่งเดียวที่จริงแท้เสมอยามต้องเลือก
“แม้ว่าจะพยายามยืนยันว่าเราไม่ใช่นักหม่นเศร้านะ แต่ดูเหมือนว่าใครๆ อ่านก็รู้สึกอย่างนี้จนอาจจะต้องยอมรับแล้ว (ฮา) ถ้าจะอธิบาย เรารู้สึกว่าความหม่นๆ บรรยากาศทึมๆ เรื่องชวนหดหู่ชวนเศร้าในแต่ละเรื่องมันเป็นการมองความทุกข์ด้วยสายตาสนอกสนใจมากกว่าค่ะ ถึงพูดเรื่องหม่นเศร้า แต่ตัวละคร เรื่องราว และบรรยากาศของตัวหนังสือมันไม่ได้ฟูมฟายคร่ำครวญเลย ตัวละครทุกตัวตั้งคำถาม สงสัย และจับผิดความทุกข์ความเศร้าด้วยซ้ำ หากว่ามันจะสะท้อนกลับมาที่ตัวคนเขียน เราเองก็สนใจความทุกข์ในแง่นั้นเหมือนกัน เราเชื่อว่าถ้าเราพยายามเข้าใจมัน เราจะอยู่กับมันได้ดีขึ้นมั้งคะ” จิราภรณ์ ชี้แจงเกี่ยวกับเนื้องาน
สุดท้ายแล้วในความสัมพันธ์หรือการดำเนินเรื่องที่ดูจะมืดดำมักจะพบทางออกเสมอ “ถ้าหากเรื่องมันทำหน้าที่ของมันได้อย่างที่เราอยากให้เป็น ก็คงจะเป็นคำตอบที่ว่า ถ้าเราพอจะเข้าใจความทุกข์อยู่บ้าง เราคงอยู่กับมันได้ดีขึ้น แล้วมีความสุขแบบพอดิบพอดี ซึ่งก็มีคนถามว่า แล้วทำไมไม่เสนอเรื่องสุขๆ ไปเลยล่ะ เพราะในที่สุดแล้วทุกคนก็พยายามจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ แต่ถ้ามองกันในแง่ความน่าสนใจ เราว่าเรื่องเศร้ามันมีเสน่ห์ประหลาดๆ อยู่ อาจจะรู้สึกไปเองว่าเรื่องเศร้ามันมีมิติ มีความซับซ้อนมากกว่าความสุข เลยมีแง่นั้นแง่นี้ให้คิด ให้รู้สึก และให้เขียนมากกว่าน่ะค่ะ”
“สัมพันธภาพ” คือนัยที่ถูกซ่อนทว่าเปิดเผยตัวเองอยู่ในทีถึงเรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ “เรื่องที่มากระทบให้อยากลงมือเขียนเลยค่อนข้างจะไม่เกี่ยวข้องกันมากถึงมากที่สุด แต่พอกลับมามองดูมันทั้งหมด ก็พบว่ามันมีจุดร่วมเดียวกันค่อนข้างเยอะ เพราะสายตาในการเห็นอะไรแล้วเอามารู้สึกต่อไม่ค่อยเปลี่ยน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักได้มาจากความสัมพันธ์ของผู้คนในรูปแบบต่างๆ ค่ะ เราสนใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากๆ สนใจวิธีที่คนหนึ่งมองอีกคนหนึ่ง คนหนึ่งพูดกับอีกคนหนึ่ง หรือคนหนึ่งไม่พูดกับอีกคนหนึ่ง ทำไมคนนั้นยิ้ม ทำไมคนนี้หัวเราะ ทำไมคนโน้นร้องไห้ เราว่ามันขับเคลื่อนกันและกันอยู่น่ะค่ะ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกความสัมพันธ์ที่เราสนใจมันจะเอามาแปรรูปกลายเป็นเรื่องสั้นได้หมด แต่เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกกับมันมากๆ จนปล่อยไปไม่ได้ คิดกับมัน หมกมุ่นกับมันไม่พอต้องขอเขียนซะหน่อย มักจะเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่อธิบายลำบาก เหมือนถ้าเวลาเจอความสัมพันธ์แบบนี้ เราจะมีคำถามประเภท ทำไมมันทำอย่างนั้นวะ เฮ้ย ทำอย่างนั้นไม่มีเหตุผลเลย ซึ่งเรารู้สึกว่าอะไรที่ดูไม่มีตรรกะเหล่านี้ มันจริงมากๆ เรารู้สึกว่าชีวิตเราก็เต็มไปด้วยเรื่องงี่เง่าไม่เข้าท่าพวกนี้แหละค่ะ เพื่อนที่อยู่ๆ ก็เดินออกไปจากชีวิตเราดื้อๆ (ในเรื่อง...เมื่อฉีกโปรดให้ขาดออกจากกัน) คนที่หมดรักกันไปเฉยๆ (จากเรื่อง...จุดและจบ) หรือการที่อยู่ดีๆ เราก็ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อตามหาคนที่เคยอยู่ในความทรงจำ(จากเรื่อง...เหนียว)”
หนังสือเล่มนี้ต้องติดเรต น. ให้กับผู้มีหัวใจอ่อนแอหรือไม่ “แนะนำสิคะ (โหมดขายของ) คำโปรยของหนังสือเล่มนี้คือ 12 เรื่องสั้นบำบัดของคนไม่ถนัดการฟูมฟาย ถ้าจะว่ากันที่จุดเริ่มต้น เราเขียนเรื่องสั้นพวกนี้ขึ้นมาเพื่อบำบัดตัวเองค่ะ แต่ด้วยตัวละคร ด้วยเรื่องราว ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในแต่ละเรื่องมันค่อนข้างมีพื้นที่กว้างๆ ชวนคนอ่านมานั่งคุยกับตัวละครของเราอยู่พอสมควร เพราะเราไม่ค่อยได้สรุปอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือมีประโยคคมเก๋สะท้อนความเข้าใจถ่องแท้ในชีวิตอะไรทำนองนั้น เราเลยเชื่อว่ามันเหมือนมาเข้ากลุ่มบำบัดด้วยกันกลับบ้านไปจะคิดอะไรได้บ้างจากสิ่งที่เรารู้สึกมา” จิราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย


