ติมอร์ตะวันออก บนเส้นทางแห่งชีวิต
หลังจากที่ได้ชุ่มฉ่ำกับเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ของไทยกันไปแล้ว หลายคนคงได้มีโอกาสเดินทางกลับบ้าน
หลังจากที่ได้ชุ่มฉ่ำกับเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ของไทยกันไปแล้ว หลายคนคงได้มีโอกาสเดินทางกลับบ้าน
ได้พบปะญาติสนิทมิตรสหาย และได้ถือโอกาสพักกายพักใจในวันหยุดยาวๆ กันไปแล้ว โลก 360 องศา ก็ขอถือโอกาสปีใหม่ไทยอันเป็นมงคลนี้ อวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขและสนุกกับเรื่องราวของการเดินทางไปจรดองศาต่างๆ กับเรา
เรื่องราวของเราในวันนี้ เป็นการเดินทางออกจากกรุงดิลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศติมอร์ตะวันออก เป้าหมายปลายทางในวันนี้คือเมืองเบาเกา (Baucau) เมืองซึ่งในอดีตเคยมีสถานะเป็นเมืองหลวงเมื่อครั้งสมัยที่โปรตุเกสปกครองที่นี่ เส้นทางในการเดินทางในวันนี้ เราได้รับคำบอกเล่ามาว่าเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดในประเทศนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามระยะทางกว่า 200 กิโลเมตรข้างหน้า เราก็ต้องเผื่อเวลาด้วยการออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่เลยทีเดียว
เราออกเดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งพาหนะของเราในวันนี้เป็นรถโฟร์วีลขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่น่าจะเหมาะที่สุดสำหรับการเดินทางในประเทศนี้ เราผ่านถนนสายหลักที่มีขนาดเทียบเท่ากับครึ่งเลนของถนนในบ้านเรา ดังนั้นไม่ว่ารถของเราจะเข้าโค้งหรือสวนทางกับรถคันอื่น ก็สร้างความตื่นเต้นและหวาดเสียวได้ตลอดเส้นทาง แต่ทัศนียภาพสองข้างทางก็ต้องบอกว่าสวยงามจริงๆ มีทั้งภูเขาและทะเลขนาบข้างไปตลอดสองข้างทาง เราจึงขับไปแวะไป เห็นอะไรชอบตรงไหนก็จอดแวะไปเรื่อยๆ ให้สมกับการที่ต้องตื่นกันมาตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งตลอดสองข้างทางจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากชนบทของไทยเราสักเท่าไหร่ นั่นคือมีทั้งทุ่งนา ฝูงควาย ชาวบ้านที่กำลังเก็บเกี่ยวพืชผล และเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพราะเห็นเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่ ก็เลยเกิดความสนใจว่าโรงเรียนในประเทศติมอร์ตะวันออกเป็นอย่างไร ที่นี่เราพบกับเด็กนักเรียนอายุราว 10-12 ปี สื่อสารกันไปกันมาก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เราก็เลยลองให้พวกเด็กๆ ร้องเพลงชาติ ซึ่งแรกๆ ก็เขินอาย แต่เมื่อมีคนเริ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จนในที่สุดทุกคนก็ร้องประสานเสียงไปพร้อมๆ กัน เราเห็นถึงสีหน้าและแววตาของเด็กๆ ที่เปลี่ยนไป เป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ทุกคนร้องกันอย่างเต็มเสียง ฟังแล้วก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เพลงชาติของประเทศติมอร์ตะวันออกมีชื่อว่า ปาเตรีย ปาเตรีย (Patria Patria) เป็นคำในภาษาโปรตุเกส แปลว่าปิตุภูมิ ซึ่งปัจจุบันนี้อาจยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้คนชาวติมอร์ตะวันออก แต่สำหรับเด็กๆ หากใครได้มีโอกาสไปโรงเรียนก็จะร้องได้หมดทุกคน จากนั้นเราก็เข้ามาเยี่ยมชมการเรียนการสอนในชั้นเรียน ผ่านซากอาคารเรียนที่พังทลายจากสงคราม นักเรียนที่นี่จึงต้องเรียนรวมกันหลายชั้นเรียน และต้องผลัดกันใช้ห้อง แต่เราก็ทราบมาว่าอีกไม่นานพวกเด็กๆ ก็จะได้อาคารหลังใหม่ ในชั้นเรียนเราเห็นเด็กๆ ได้จับดินสอขีดเขียนสมุด เราเห็นตำราเรียนที่เก่าและฉีกขาด แต่ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องโชคดีแล้วสำหรับเด็กๆ ที่นี่ เพราะถึงแม้จะเป็นประเทศเกิดใหม่และผ่านพ้นสงครามไม่นาน แต่ทางรัฐบาลก็มีนโยบายสนับสุนนการศึกษาด้วยการให้เรียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ออกเดินทางกันต่อและได้มีโอกาสเสียวสันหลังกันอีกครั้ง กับเส้นทางเลียบหน้าผาหิน ที่เบื้องล่างคือทะเล เราลัดเลาะผ่านภูเขาหินที่ทราบต่อมาว่าคือหินอ่อน ซึ่งเขาว่ากันว่า หินอ่อนที่ประเทศนี้คือหินอ่อนที่มีคุณภาพดีเยี่ยม และเป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ ซึ่งเรื่องราวของหินอ่อนนี้ก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ในปัจจุบันมีการพูดถึง เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ไม่น้อย แต่ก็เป็นการสนับสนุนให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และไม่ไกลกันนักเราเดินทางเข้าสู่เขตหมู่บ้านเล็กๆ ก็ต้องสะดุดและหยุดรถกันอีกครั้ง เพราะข้างทางเราเห็นวิธีการทำนาในแบบที่แปลกและไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นก็คือการใช้ควายพรวนดิน ซึ่งจากการประมาณการด้วยสายตา เราเห็นควายประมาณ 20-30 ตัว โดยที่มีชาย 4 คนทำหน้าที่ไล่ต้อนพร้อมกับร้องเพลงที่มีลักษณะเป็นเพลงพื้นบ้าน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็อาจคล้ายกับเพลงเกี่ยวข้าวในบ้านเรา เมื่อควายวิ่ง ก็ทำให้เกิดการย่ำลงไปในผืนนา คล้ายกับการพรวนดินนั่นเอง เป็นวิถีชีวิตที่ไม่ค่อยจะเห็นได้ง่ายนัก ในยุคสมัยปัจจุบันที่ควายเหล็กเข้ามามีบทบาท หากเป็นประเทศไทยเรา การเป็นเจ้าของควายฝูงใหญ่ๆ ก็อาจบ่งบอกได้ถึงฐานะ แต่ที่ประเทศติมอร์ตะวันออกกลับไม่ใช่อย่างนั้น เพราะการมีควายเยอะไม่ได้หมายความว่าจะร่ำรวย เพราะชาวนาทุกบ้านต่างก็ล้วนมีควายฝูงใหญ่เป็นเรื่องปกติ
และเมื่อพูดถึงเรื่องควายแล้ว ก็ต้องเกี่ยวกับเรื่องของข้าว ผู้คนชาวติมอร์ตะวันออกทานข้าวเป็นอาหารหลักคล้ายๆ กับบ้านเรา แต่ข้าวที่นี่ส่วนใหญ่จะพอรับประทานในครัวเรือนเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้ข้าวจากประเทศเวียดนามและจีนเข้ามาตีตลาดที่นี่เป็นจำนวนมาก และได้รับความนิยมมากกว่าข้าวไทย อันเนื่องมาจากราคาที่ถูกกว่านั่นเอง
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมืองเบาเกาในเวลาเที่ยงกว่าๆ ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ ที่นี่คืออดีตเมืองหลวงเก่าสมัยเมื่อครั้งโปรตุเกสปกครอง อาคารบ้านเรือนในแบบโปรตุเกสจึงหาชมได้ไม่ยากในเมืองนี้ และถ้าหากพูดถึงเมืองนี้เราก็ทราบมาว่าเมื่อครั้งที่ประเทศไทยส่งกองกำลัง 972 มาช่วยฟื้นฟูประเทศติมอร์ตะวันออก กองทัพไทยก็ได้มาตั้งฐานทัพใหญ่ที่เมืองเบาเกา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนในเมืองนี้จะรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี
และด้วยความที่เรายังเหลือเวลาอีกมาก โจเซ่ คนขับรถจึงแนะนำว่าเราน่าจะเลยไปยังอีกเมืองหนึ่ง นั่นก็คือที่เมืองลอสปาลอส (Lospalos) เมืองซึ่งตั้งอยู่ปลายแหลมสุดทางด้านตะวันออกของประเทศ ซึ่งระหว่างการเดินทางเราก็พบกับบ้านที่มีลักษณะแปลกๆ เป็นบ้านในแบบของชาวพื้นเมืองที่หาชมได้เฉพาะที่ลอสปาลอสเท่านั้น โดยลักษณะการออกแบบคือมีเสายกสูง ตัวบ้านแบ่งออกเป็นสองหลังติดกัน ซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน โดยที่ผู้ชายจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ และผู้หญิงจะอาศัยอยู่บ้านหลังเล็ก ซึ่งผู้ที่จะมีบ้านในลักษณะแบบนี้ได้จะต้องเป็นหัวหน้าเผ่า หรือไม่ก็ผู้นำหมู่บ้านเท่านั้น
ท้ายที่สุดเราก็เดินทางมาถึงยังที่หมายที่ไม่ได้ตั้งใจไว้แต่ต้น นั่นก็คือที่เมืองลอสปาลอส ซึ่งค่ำคืนนี้เราจะพักค้างคืนกันที่นี่ ด้วยสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่แค่เพียงวันนี้วันเดียว เราก็ได้เก็บเกี่ยวความสุขและทำความรู้จักประเทศนี้มากมายหลายองศาเหลือเกิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นตลอดสองข้างทางคือสิ่งที่เหนือความคาดหมายมาโดยตลอดกับที่ประเทศนี้ ที่ติมอร์ตะวันออก


