เที่ยวหัวใจใหม่ฯ ตอน เที่ยวกลางกรุง
เฮ้อ...ยังไม่อยากทำงานเลยครับท่านผู้อ่าน แหม...ก็เพิ่งจะหยุดยาวช่วงสงกรานต์มานี่ครับ ยังปรับตัวไม่ได้เลย หุหุ
เฮ้อ...ยังไม่อยากทำงานเลยครับท่านผู้อ่าน แหม...ก็เพิ่งจะหยุดยาวช่วงสงกรานต์มานี่ครับ ยังปรับตัวไม่ได้เลย หุหุ
พูดถึงวันหยุดสงกรานต์แล้ว ก็ทำให้ผมนึกถึงข้อความในเฟซบุ๊กที่เพื่อนๆ ส่งต่อมาให้ ซึ่งบอกได้เลยว่า กวนโอ้ย...เหลือเกิน
ก็เล่นส่งกันมาว่า “ไม่ใช่ แอ๊ฟ ทักษอร ไม่ต้องถาม สงกรานต์ไปไหน!!” อูย มุขนี้เล่นเอาจุกไปเหมือนกัน แต่ก็จริงนะครับ จะรู้ได้ไง ว่าสงกรานต์ไปไหน
ตัวผมเองนั้น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนกรุงเทพฯ อย่างผมจริงๆ เพราะรถราที่เคยแน่นติดกันหนักหนาสาหัส กลายเป็นว่างโล่งไปหมด อยากไปไหนก็ไปได้ แล้วอย่างนี้จะให้ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดทำไมละ
ก่อนหยุดสงกรานต์ ผมนั่งคุยกับน้า “สมาน สุดโต” เจ้าของคอลัมน์ “สยามอัศจรรย์” และ “สว่าง ณ กลางใจ” คอลัมน์สุดฮิตของโพสต์ทูเดย์เกี่ยวกับวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงเทพฯ
หนึ่งในหัวข้อสนทนา น้าหมาน ถามว่า “คุณรู้มั้ยว่าในกรุงเทพฯ มีพระประธานอยู่องค์หนึ่งสวยมาก เป็นพระพุทธรูปทองคำทั้งองค์ แถมอยู่กลางเมืองกรุงเสียด้วย”
ทำเอาผมหูผึ่งเลยครับ ซึ่งสุดท้ายน้าหมานมาเฉลยว่า พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวคือ “พระร่วงทองคำ” แห่งวัดมหรรณพารามวรวิหาร ซึ่งตั้งอยู่บนถนนตะนาว ใกล้ๆ กับเสาชิงช้า และศาลเจ้าพ่อเสือนั่นเอง
เมื่อรู้อย่างนั้น ผมก็เลยตัดสินใจว่า สงกรานต์นี้จะตะลุยแถวๆ นั้นเสียเลย เพราะถนนตะนาวนั้นอยู่ใกล้แหล่งเที่ยวอีกหลายแห่งที่ผมเริ่มจะเลือนๆ ไปแล้ว อย่างถนนทั้ง 3 แพร่ง ไม่ว่าจะเป็นแพร่งนรา แพร่งภูธร แพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ทั้งนั้น แถมยังมีอาหารการกินอีกเพียบ แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้วครับ
ผมเริ่มจากศาลเจ้าพ่อเสือก่อนเลยครับ ซึ่งตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่งถนนตะนาวพอดี เห็นมีที่จอดรถข้างทางหน้าศาลเจ้าพ่อเสือ ก็เลยจอดซะเลย โชคดีไม่ต้องเดินไกล วันนี้นักท่องเที่ยวน้อยมาก สงสัยคงยังเพลียกับการสาดน้ำกันอยู่ เลยไม่ต้องกลัวว่าเวลาเข้าไปในศาลแล้วจะเหมือนกับเข้าไปเจอแก๊สน้ำตา ให้น้ำหูน้ำตาไหลจากควันธูป แถมต้องเดินระวังหลังไม่ให้ถูกธูปจี้อีกต่างหาก
มาคราวนี้เดินมาแบบเชิ่ดๆ เข้าไปเลยครับไม่ต้องเบียดใคร ศาลนี้สร้างขึ้นมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 3 ครับ เป็นศาลเจ้าประจำลัทธิเต๋า ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “ตั่วเล่าเอี้ย” หรือ “เทพเฮี่ยงบู๊” ซึ่งเป็นดาวนักษัตรที่อยู่ประจำทิศอุดร หรือทิศเหนือ มีงูและเต่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คู่กาย
ศาลเจ้าแห่งนี้มีตำนานน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ว่ากันว่า ในสมัยรัชกาลที่ 3 ปรากฏว่ามีเสือใหญ่ตัวหนึ่งออกอาละวาด และทำร้ายคนทั่วไป รวมทั้งได้ฆ่าลูกชายของยายแก่คนหนึ่งไปด้วย เดือดร้อนถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องตามปราบ แต่ก็ไม่สามารถปราบได้ จนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องไปขอพรจากหลวงพ่อพระร่วงแห่งวัดมหรรณพารามฯ ที่อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง โดยขอให้เสือตัวดังกล่าวคลายความดุร้ายลง โดยสัญญาว่าจะไม่ทำอันตรายเสือ
เมื่อขอพรเสร็จ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่สามารถนำเสือมาตัดสินความในศาลได้ และเสือก็ยอมรับว่าทำอันตรายคนจริง แต่จะขอกลับตัวกลับใจเสียใหม่ เจ้าหน้าที่เลยตัดสินให้เสือไปดูแลยายที่เสียลูกไปเพื่อไถ่โทษ เสือตัวนั้นก็ยอมและอยู่ดูแลยายแก่เรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งยายแก่ได้ตายลง และในขณะที่เผาศพยายแก่ เสือตัวนี้ได้กระโดดเข้าไปในกองไฟตายตามไปด้วย ทำให้ชาวบ้านเห็นถึงความกตัญญู ก็เลยสร้างศาลเจ้าไว้เป็นอนุสรณ์ และกลายเป็นที่สักการะของคนไทยทั้งเชื้อสายจีนและไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ออกจากศาลเจ้าพ่อเสือ เลี้ยวซ้ายออกไปทางสี่แยกคอกหัว เดินต่อมาสัก 50 เมตรแล้วข้ามถนนมา ก็จะเจอกับวัดมหรรณพารามวรวิหารแล้วครับ วัดนี้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ซึ่งมีรูปทรงคล้ายๆ กับเก๋งจีน ซึ่งเป็นศิลปะที่นิยมในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งพระองค์ท่านถือเป็นพระบิดาแห่งการค้าขาย มีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวจีนเป็นจำนวนมาก ทำให้ศิลปะจีนแพร่หลายเข้ามาในยุคสมัยพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก
ผมเดินฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระยับเพื่อเข้าไปสู่พระวิหาร หวังจะไปชมพระร่วงทองคำให้เห็นเป็นบุญตาเสียหน่อย แต่ก่อนถึงพระวิหาร ก็ต้องหยุดมองไปรอบๆ ตัวเพื่อซึมซับศิลปะแห่งอดีตที่วัดนี้มีให้เต็มตาเสียก่อน วัดนี้ผู้สร้างคือ กรมหมื่นอุดมรัตนรังษี (พระนามเดิม พระองค์เจ้าอรรณพ) พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี 2393 แต่มาเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ เรียกว่าใช้เวลาก่อสร้างถึงสองรัชกาลทีเดียว
เกือบ 200 ปี ที่วัดมหรรณพารามฯ ถูกสร้างขึ้นมา แต่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผมค่อยๆ เดินดูไปเรื่อยๆ แต่หามุมถ่ายรูปยากจริงๆ ครับ ติดบ้านเรือนรอบๆ ไปหมด
หามุมถ่ายรูปไม่ได้ ก็เลยเดินดุ่มๆ ไปที่พระวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระร่วงทองคำ เมื่อก้าวเข้าไปในพระวิหารแล้วก็ต้องตะลึงกับความสวยงามของพระร่วงทองคำที่สวยงามจริงๆ ครับ องค์พระร่วงสีทองอร่ามปรากฏอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
ไม่แปลกใจเลยครับว่า ทำไมน้าสมานถึงบอกว่าสวยนักสวยหนา จะไม่ให้สวยยังไงละครับ ก็พระร่วงทองคำนี้มีคุณลักษณะพิเศษมากมาย เริ่มตั้งแต่มีพุทธลักษณะงดงาม พระพักตร์มองดูแล้วยิ้มนิดๆ ทั้งองค์มีรอยต่ออยู่ 9 แห่ง ส่วนสัดขององค์พระไม่มีที่ไหนบกพร่อง เนื้อองค์พระมีเนื้อทองคำปนอยู่ โดยได้มีการพิสูจน์ด้วยการลอกทองและรักออกบริเวณพระอุระด้านขวา กว้างยาวประมาณ 1 ศอก และได้นำไปให้กรมศิลปากรพิสูจน์ ปรากฏว่าเป็นเนื้อทองประมาณ 60% ถือว่าเป็นพระทองคำอีกองค์หนึ่งในประเทศไทย นอกเหนือจากพระประธานที่วัดไตรมิตร
พระร่วงทองคำ นั้นถูกอัญเชิญมาจากสุโขทัยครับ โดยทีแรกรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้หาพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มาเป็นพระประธานในวัดมหรรณพารามฯ นี้แต่การเดินทางนำพระพุทธรูปขนาดใหญ่ล่องจากสุโขทัยมายังกรุงเทพนั้นต้องมาทางน้ำทางเดียว ซึ่งใช่้เวลาเดินทางหลายเดือน ทำให่้ไม่ทันกำหนดเวลาที่พระอุโบสถเสร็จ ก็เลยต้องสร้างพระวิหารขึ้นมาเพื่ออัญเชิญพระร่วงทองคำมาประดิษฐานแทน
ครับ แค่ได้มาเห็นก็ชื่นใจแล้วครับ ส่วนเรื่องการทำบุญไม่ต้องกังวล หยอดตู้ตามศรัทธา มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก ซึ่งผมว่าดีมากครับ ไม่ใช่กำหนดราคาค่าดอกไม้ธูปเทียนไว้ตายตัว แล้วคนเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ทำบุญแบบที่เรียกว่าตามศรัทธาจริงๆ
เดินฝ่าเปลวแดดออกจากวัดได้ ตาก็เหลือบไปเห็นร้านขายขนมเบื้องชื่อดัง ร้านขนมเบื้องแม่ละเมียด ก็ต้องข้ามถนนกลับไปซื้อเสียหน่อย สั่งมา 5 ชิ้น ใส่ไส้หวานไส้เค็มมาพร้อม เวลาคิดเงินแทบเป็นลม รวมแล้ว 150 บาท ชิ้นละ 30 บาทถ้วน!!
อกอีแป้นแทบแตก ขนมเบื้องอะไรชิ้นละ 30 บาท แพงค่อดๆ รสชาติก็ธรรมดา ไม่เอาอีกแล้ว เก็บเงินไปกินข้าวมันไก่ของโปรดของผมดีกว่า ได้ตั้งหลายจาน
เดินกลับมาที่รถ อ้าว!! งานเข้าอีกแล้วครับ ตรงทางสามแพร่งหน้าศาลเจ้าพ่อเสือที่ผมจอดรถ ปรากฏว่าเจ้าพ่อเสือไม่ได้ไล่ปัดเป่าความซวยให้ผมเลย รถผมเจอล็อกล้อ!!
มองไปที่ฟุตปาท ก็เห็นลายขาวแดง แบบจางแทบมองไม่เห็น ถ้าไม่สังเกตดีๆ อย่าหวังว่าจะได้เห็น เนียนตาจริงๆ เฮ้อ...มองหาพี่ตำรวจคนที่ล็อกล้อ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว เลยเอาใบสั่งมาดู แล้วก็พบข้อความว่าให้ไปจ่ายค่าปรับที่ บก.จราจร ด้านข้างดิ โอลด์สยาม เอาแล้วสิ แล้วมันอยู่ตรงไหนว่ะเนี่ย ไม่คุ้นเสียด้วย
อารมณ์จะเดินช็อปปิ้งของกินเลยหายไปหมด แต่เมื่อโดนไปแล้วทำไงได้ เลยตามเลยแล้วกัน ยังไงก็ถูกปรับอยู่ดี เดินนานๆ ไปเลย ว่าแล้วก็เดินไปซื้อข้าวเหนียวมูนร้าน ก.พาณิชย์ ที่อยู่เลยไปหน่อย ซึ่งร้านนี้อยู่แถวแพร่งนราครับ หาไม่ยาก หน้าร้านจะมีแม่ค้าขายมะม่วงอกร่องขายอยู่เต็มหน้าร้าน ลิ่วไปได้เลย ไม่ผิดแน่
ข้าวเหนียวมูนกิโลละ 140 บาท แพงใช่ย่อยครับ ผมทานมาตั้งแต่กิโลละ 70 บาท แต่ก็ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว ส่วนแม่ผมทานมาตั้งแต่กิโลละ 35 บาท ลองคิดดูครับร้านนี้ขายมานานแค่ไหน ส่วนมะม่วงอกร่อง น้ำดอกไม้ ทองดำ ก็ซื้อจากแม่ค้าที่อยู่แถวหน้าร้านเอา ไม่ต้องไปหาซื้อที่อื่นให้วุ่นวาย วันสต็อปช็อปเสร็จในที่เดียว
ถ้ายังไม่กลัวอ้วน เดินไปซื้อไอศกรีมกะทิโฮมเมดแถวนั้นทานดับความหงุดหงิดจากที่โดนล็อกล้อเสียหน่อย แล้วเรียกรถตุ๊กตุ๊กไปจ่ายค่าปรับ โดยเราก็ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ตุ๊กตุ๊กพาอ้อมโน่นอ้อมนี่ ทำยังกับหน้าตาผมเหมือนนักท่องเที่ยวเกาหลี
เลยต้องบอกว่าจะพาไปไหนก็ไป แต่ถ้าคิดราคาค่ารถแพงก็เข้าไปโรงพักด้วยกันก็แล้วกัน ได้ผลแฮะ รถตุ๊กตุ๊กหยุดหน้า สน.พอดิบพอดี พร้อมกับค่าโดยสาร 40 บาท
มาถึง สน.แล้วเดินดุ่มๆ ไปจ่ายค่าปรับ 700 บาท พร้อมยิงคำถามคาใจกับคุณพี่ตำรวจที่นั่งรับค่าปรับทันทีว่า “ทำไมต้องให้ผมเสียค่ารถตุ๊กตุ๊กมาจ่ายค่าปรับด้วย”
สน.อยู่ตรงไหนไม่รู้ ต้องเสียค่ารถตุ๊กตุ๊กมาจ่ายค่าปรับ เสียเงินหลายต่อเหลือเกิน ทำไมไม่ให้เบอร์โทร.เจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เลย แล้วให้โทร.เรียกเพื่อมาเขียนใบสั่ง รับค่าปรับกันตรงนั้นเลย จะได้ไม่วุ่นวาย ยังไงตำรวจคนนั้นก็ต้องไปไขล็อกล้อออกอยู่แล้ว
แต่คำตอบที่ได้รับมาทำเอาผมปวดตับเหลือเกินครับ เพราะพี่ตำรวจบอกว่า ไม่อยากให้ตำรวจรับเงินเอง เดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน
เออ...ดีเหมือนกัน ไม่เชื่อใจพวกเดียวกันเอง เลยมักง่ายให้ประชาชนเดือดร้อนดิ้นรนมาจ่ายค่าปรับกันเอาเอง
จ่ายค่าปรับเสร็จ นั่งแท็กซี่เลยครับ หวังกลับมาให้ทันเห็นหน้าพี่ตำรวจเสียหน่อย แต่ก็ไม่ทัน กุญแจล็อกล้อถูกไขไปแล้ว ไวมากจริงๆ เฮ้อ....วันนี้ตั้งใจมาทำบุญเสียหน่อย กลับได้ทำทานเป็นค่าปรับแทนเลย
กำลังจะขึ้นรถ ตาเหลือบไปเห็นร้านขายขนมไทยหน้าตาดีใช้ได้ ก็เลยเดินลิ่วไปมองๆ เลือกๆ ว่าจะเอาทองหยอด ข้าวเหนียวตัด หรือเผือกเชื่อมดีหว่า ระหว่างที่คิดก็ยกกล้องถ่ายรูปขนมเสียหน่อย ก็ปรากฏเสียงลั่นข้างๆ หูผมว่า
“ไม่ต้องถ่าย ไม่ให้ถ่ายรูปขนม ไม่อยากดัง ไม่ต้องมายุ่ง”
โอย...วันนี้ทำอะไรมาเนี่ย ผมซวย


