กฤษดา ศิรามพุช ชีวิตและสุขภาพอันดับหนึ่ง

เรื่องของ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการ ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ที่หลายคนอาจไม่รู้ ก็คือความเป็นนักโบราณคดีของคุณหมอ

โดยนอกจากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรวัฒน์ (American Board of AntiAging Medicine) ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับแอนตี้ เอจจิงออกมาหลายเล่ม คุณหมอก็ยังเป็นสมาชิก(เก่าแก่)ของสถาบันสมิทโซเนียน ที่ขยันเขียนหนังสือด้านประวัติศาสตร์ออกมาให้อ่านกัน

กงล้อประวัติศาสตร์

ด้วยวัย 33 ปี คุณหมอบอกเล่าถึงความสนใจว่า นอกจากเรื่องชะลอวัยแล้วก็คือโบราณคดีนี่แหละ ศาสตร์แห่งความเก่าแก่ลึกลับที่นำเขากลับไปสู่กุญแจที่ไขความลับแห่งจักรวาล คุณหมอหนุ่มบอกว่าโบราณคดีตอบโจทย์ทุกสิ่ง ก็อย่างที่มีคนว่าไว้นั่นปะไรว่า โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่...ไม่มีอะไรไม่เคยเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้ กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่จะหมุนวนกลับมายังจุดที่เคยเป็นมาและจะเป็นไป

“อย่างเรื่องของสุขภาพ” คุณหมอว่า “เชื่อไหมว่าเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็กลับมาย้อนรอยประวัติศาสตร์เข้าจนได้ นวัตกรรมใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมไม่พ้นสเต็มเซลล์ และนาโนเทคโนโลยี แต่ผมจะบอกให้ว่า ทั้งสเต็มเซลล์และนาโนฯ ล้วนเคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์โลกความงามและสุขภาพ”

คุณหมอเล่าถึงความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต ที่ทำงานกับเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งในที่สุดทุกอย่างก็กลับไปที่อาหารและการออกกำลังกายที่สมดุล สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือธรรมชาติ การทำตัวเองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ จึงถือเป็นคำตอบหนึ่งเดียว และนี่แหละที่เป็นเคล็ดลับแห่งความงามและสุขภาพที่แท้จริง

เรื่อง(ไม่)อยากเล่าก็มี

สำหรับชีวิตส่วนตัว มีเรื่องอยากเล่า คุณหมอจบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นก็ไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลท้องถิ่นที่ จ.ตราด 1 ปีเต็ม ใช้ชีวิตหมอฝึกหัดที่คุ้มค่ามากๆ ที่โรงพยาบาลชายแดนที่แหลมงอบ งานหลักคือการแคะลูกปรายออกจากแผลถูกยิง ส่วนใหญ่ก็มักจะบอบช้ำกันมาจากปืนไทยประดิษฐ์ คุณหมอเล่าว่า หลับตาแคะยังได้ คือชำนาญมาก (ฮา)

“ตี 3 แล้วบางทียังต้องอยู่ที่โรงพยาบาล หอบหิ้วกันมากลางดึก หรือบางทีก็ต้องออกไปชันสูตรศพ ที่ส่วนใหญ่ลอยตายมากับคลื่น เพราะถูกโจรฆ่าทิ้งกลางทะเล ทะเลซัดเข้าถึงฝั่งนี่ก็จะไม่ค่อยเหลืออะไรแล้ว เพราะปลาจะตอดหลักฐานไปจนเกือบหมด” คุณหมอเล่าให้ฮา แบบเสียวๆ

ครั้งหนึ่งที่ทำให้เปลี่ยนมุมมองชีวิต คือการได้เรียนกับ “อาจารย์ใหญ่” ทั้งสภาพบรรยากาศในห้องเรียนและร่างกายของอาจารย์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่อยากเล่าและไม่อยากเล่า ก็ฟ้องหมด อยู่บนโต๊ะเรียน ทำอะไรมามากต่อมาก แต่ในที่สุดก็คืออนิจจัง มือของอาจารย์เคยจับ เคยต้อง เคยทักทาย และเคยทำทุกสิ่ง ในที่สุดก็กองกันอยู่ในถัง คุณหมอมุ่งเข็มเรียนด้านแอนตี้เอจจิง และพบว่าการต้านชราที่ดีที่สุด คือการคิดถึงตัวเองให้น้อยที่สุด

ตระหนักรู้อายุรวัฒน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านการต้านวัย เล่าต่อไปว่า ลึกลงไปของคนเรามีอะไรที่มากกว่าผิวกำพร้า สำคัญไม่สำคัญอยู่ตรงที่เมื่อขุดแล้วได้เจอกับอะไร ปี 2543 เรียนจบและใช้ทุนปีหนึ่ง คุณหมอกลับมาเรียนเฉพาะทางด้านรังสีวิทยาที่จุฬาฯ ต่อ จากนั้นก็ไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปี ก่อนจะบินไปเรียนต่อที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา American Academy of AntiAging Medicine สาขาแอนตี้เอจจิงโดยตรง

แต่แม้ชิคาโก ก็ยังไม่ตอบโจทย์ ตราบใดที่เรายังไม่เป็นเอกเทศ ปลดแอกตัวเองจากยาเป็นกำๆ มือได้ คุณหมอก็ยังไม่สบายใจ สุดท้ายคืออายุรวัฒน์แบบไทยๆ ที่ตั้งใจจะกลับมาทำให้เกิดเป็นรูปธรรม คะน้า คือ ราชาแห่งผัก ไม่ต้องบรอกโคลีก็ได้ หรือไม่ต้องแซลมอนก็ได้ ตอบโจทย์แบบไทยๆ ด้วยปลาทูดีๆ กินให้ได้สักวันละตัว เอาแบบหน้างอคอหักสูตรปลาทูแท้แม่กลองนั่นปะไร นี่ล่ะโอเมก้าชั้นดี ชนิดว่าไม่ต้องกินน้ำมันปลาเสริมเลย

ยิ่งตำยิ่งดีสำหรับสุขภาพ ส้มตำดีๆ อร่อยๆ ส่วนประกอบแบบไทยแท้ในหนึ่งครก สำหรับคุณหมอแล้วนี่ตอบโจทย์วิตามินต่อหนึ่งวันได้แบบถ่องแท้และแน่นอน ตะวันตกเอะอะก็น้ำมันมะกอก แต่ตะวันออกแบบไทยๆ ก็มีและอาจดีกว่าด้วย นั่นคือน้ำมันรำข้าว ฝรั่งให้กินแอปเปิล แต่คุณหมอกฤษดาว่า กินมะเขือเทศหรือคำของคุณหมอ กิน “ถุงใส่วิตามินรวม” แทนก็ได้ จะมะเขือเทศสีดา หรือมะเขือเทศเล็กใหญ่ก็ได้ทั้งสิ้น หรืออย่างปลาร้าก็วิตามินเคเพียบ รู้หรือเปล่าว่า ฝรั่งอิจฉาเราเรื่องปลาร้ามาก

“เคล็ดลับการต้านชราของผม คือไม่มีอะไรที่ต้องห้าม ไม่มีอะไรที่เป็นพิษ ทุกอย่างในโลกเป็นทวิลักษณ์หมด หลักคือกินให้หลากหลาย กินแบบตระหนักรู้ อายุรวัฒน์ไม่ชอบอะไรที่จำเจ อย่าลืมออกกำลังกายให้พอเหมาะสมดุล สุดท้ายคือเรื่องของใจ อย่างที่อาจารย์ใหญ่เคยบอกผมไว้ คิดถึงตัวเองให้น้อย คิดถึงส่วนรวมให้มาก กายใจจะเบาขึ้นมาทันตาเห็น สวยสดงดงาม ปิ๊งๆๆๆๆๆ...” คุณหมอหัวเราะร่าเป็นการจบการสนทนา