เวียดนาม-ลาว ตอนที่ 3 อรุณรุ่งบนเส้นทางใหม่
พวกเราเดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกกันว่า Para EWEC จากจังหวัดอัตตะปือของประเทศลาว มุ่งหน้าสู่จุดเชื่อมแดนไปยังประเทศเวียดนาม ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร และตลอดเส้นทางในประเทศลาวก่อนจะเข้าสู่เวียดนามนั้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษขณะขับรถ นั่นคือสัตว์เลี้ยงประจำถิ่นนั่นเอง ซึ่งหลังจากได้ทักทายกับสัตว์เลี้ยงประจำถิ่นหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดพวกเราก็เดินทางถึงจุดเชื่อมแดนของประเทศลาวและประเทศเวียดนามที่เรียกกันว่า ด่านพูเกือเบ่ออี
พวกเราเดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกกันว่า Para EWEC จากจังหวัดอัตตะปือของประเทศลาว มุ่งหน้าสู่จุดเชื่อมแดนไปยังประเทศเวียดนาม ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร และตลอดเส้นทางในประเทศลาวก่อนจะเข้าสู่เวียดนามนั้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษขณะขับรถ นั่นคือสัตว์เลี้ยงประจำถิ่นนั่นเอง ซึ่งหลังจากได้ทักทายกับสัตว์เลี้ยงประจำถิ่นหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดพวกเราก็เดินทางถึงจุดเชื่อมแดนของประเทศลาวและประเทศเวียดนามที่เรียกกันว่า ด่านพูเกือเบ่ออี
โดย...ปวีณา สิงห์บูรณา
พวกเราเดินทางไปบนเส้นทางที่เรียกกันว่า Para EWEC จากจังหวัดอัตตะปือของประเทศลาว มุ่งหน้าสู่จุดเชื่อมแดนไปยังประเทศเวียดนาม ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร และตลอดเส้นทางในประเทศลาวก่อนจะเข้าสู่เวียดนามนั้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษขณะขับรถ นั่นคือสัตว์เลี้ยงประจำถิ่นนั่นเอง ซึ่งหลังจากได้ทักทายกับสัตว์เลี้ยงประจำถิ่นหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดพวกเราก็เดินทางถึงจุดเชื่อมแดนของประเทศลาวและประเทศเวียดนามที่เรียกกันว่า ด่านพูเกือเบ่ออี
หลังจากที่ดำเนินกรรมวิธีผ่านเมืองที่ด่านพูเกือเบ่ออี เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เปลี่ยนจากการนั่งรถตู้มาเป็นรถบัสคันใหญ่ มุ่งหน้าสู่จังหวัดกอนตูมของประเทศเวียดนาม โดยถนนหนทางและสภาพบ้านเรือนรวมถึงผู้คนเริ่มแปลกตาออกไป และถึงแม้ว่าป้ายต่างๆ ที่พวกเราเห็นจะเป็นภาษาเวียดนาม ที่ต้องคอยถามความหมายจากผู้ดูแลคณะว่าหมายถึงอะไรบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดระหว่างที่พวกเรากำลังเดินทาง นั่นคือบ้านเรือน ถนนหนทางที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งบ่งบอกถึงเมืองที่กำลังพัฒนา
จากด่านพูเกือเบ่ออี พวกเราเดินทางอีกประมาณ 85 กิโลเมตร ก็ถึงยังจังหวัดกอนตูม ประเทศเวียดนาม คณะของพวกเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้บริหารจังหวัดกอนตูม รวมถึงยังได้มีการหารือกันระหว่างตัวแทนของทั้งไทยและเวียดนามอีกด้วย
จังหวัดกอนตูมนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของที่ราบสูงเตยเหวียน ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตร และอยู่ในภาคกลางตอนล่างของเวียดนาม ปัจจุบันมีประชากรอยู่เพียงประมาณ 4.5 แสนคนเท่านั้น จุดเด่นของที่นี่คือ มีพื้นที่ซึ่งเป็นป่าไม้มากถึง 68% ของพื้นที่ทั้งหมด ทำให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ เหมาะที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ จังหวัดกอนตูมยังมีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้เกิดโครงการความร่วมมือระหว่างจีนและเวียดนามในการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำกอนตูม ซึ่งมีกำลังผลิต 440 เมกะวัตต์ และจะเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า คือ ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป
จังหวัดกอนตูมไม่ได้มีเพียงแต่ทรัพยากรทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เส้นทางโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Trail) และบ้านของชนเผ่าบานา ซึ่งมีลักษณะของที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่า เสาสูง หลังคาสูง และว่ากันว่ากว่า 50% ของประชากรในจังหวัดกอนตูมนั้นเป็นชนกลุ่มน้อย และที่มีจำนวนมากที่สุดคือเผ่าบานานั่นเอง
สถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งที่พวกเราแวะชม คือ Kon Tum Wooden Church เป็นโบสถ์ไม้ทั้งหลัง แกะสลักเป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาอย่างงดงาม และอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งพวกเราไม่เคยพลาดในทุกครั้ง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ประเทศไหนในโลกก็ตาม คือ การไปสำรวจตลาดของเมืองหรือประเทศนั้นๆ
วันต่อมา พวกเราออกเดินทางแต่เช้าจากโรงแรมอินโดจีนที่พวกเราพักค้างคืนที่จังหวัดกอนตูม มุ่งหน้าสู่จังหวัดบิ่งห์ดิ่งห์ จุดหมายของเส้นทาง Para EWEC ในครั้งนี้ ระหว่างทางผ่านจังหวัดยาลาย หรือบางครั้งก็ออกเสียงว่า ซาลาย ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดกอนตูมประมาณ 45 กิโลเมตร พวกเราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากจังหวัดกอนตูม นั่นคือเมืองที่เจริญขึ้น ถนนหนทางและสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ค่อนข้างสะดวกสบายขึ้น และจากเมืองเปลกู จังหวัดยาลาย เดินทางต่ออีกประมาณ 110 กิโลเมตร ในที่สุดก็ถึงยังจุดหมาย คือ เมืองกวีเญิน จังหวัดบิ่งห์ดิ่งห์ ประเทศเวียดนาม
คณะของพวกเรานำโดยท่านทูตทั้งสองท่าน ได้เข้าเยี่ยมคารวะคุณเหวียน วัน เทียน (Nguyen Van Thien) ประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดบิ่งห์ดิ่งห์ ซึ่งได้ให้การต้อนรับคณะของพวกเราเป็นอย่างดี และยังได้มีการหารือกันระหว่างตัวแทนของทั้งสองประเทศอีกด้วย
จังหวัดบิ่งห์ดิ่งห์เป็นจังหวัดชายฝั่งทะเลทางภาคกลางตอนล่างของเวียดนาม มีพื้นที่ประมาณ 6,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 1.5 ล้านคน ตั้งอยู่ห่างจากกรุงฮานอยลงไปทางใต้ประมาณ 1,065 กิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาว 134 กิโลเมตร และปากแม่น้ำ 3 แห่ง ได้แก่ กวีเญิน เดซี และเติมเกวิน
พวกเรามีโอกาสเดินทางไปยังท่าเรือกวีเญินของจังหวัดบิ่งห์ดิ่งห์ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักของการเดินทางในครั้งนี้ คือ การสำรวจศักยภาพของท่าเรือนานาชาติกวีเญิน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของท่าเรือน้ำลึกในประเทศเวียดนามที่มีการขนถ่ายสินค้ารวดเร็วที่สุด ทำเลที่ตั้งของเมืองกวีเญินนั้นอยู่บนพื้นที่ชายฝั่ง ประกอบไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม และเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกแหล่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม และนอกจากนี้เมืองกวีเญิน จังหวัดบิ่งห์ดิ่งห์ กำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยมีเป้าหมายให้เป็นเมืองชั้นหนึ่งภายในปี 2563
หลังจากเยี่ยมชมท่าเรือแล้ว ก่อนเดินทางเข้าที่พัก พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังตลาดของเมืองกวีเญิน ซึ่งที่ตลาดแห่งนี้พวกเราได้มีโอกาสชิมเฝอ หรือก๋วยเตี๋ยวเวียดนามแท้ๆ รวมไปถึงขนมเบื้องญวนสูตรต้นตำรับของเวียดนามอีกด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นมาพบกับแสงสีทองจับขอบฟ้าที่หาดกวีเญิน เป็นความรู้สึกสดชื่น และเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง บนเส้นทางสายใหม่ที่เรียกกันว่า Para EWEC นี้ ซึ่งพวกเราก็ได้พยายามเก็บเกี่ยวทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะนำมาถ่ายทอดผ่านรายการโลก 360 องศา วันเสาร์ เวลา 21.20 น. ทาง ททบ.5


