มุมมองคนทำ “สงครามส่งด่วน” วงการหนังไทย อยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก
มุมมองจากคนทำหนังสงครามส่งด่วน “วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์” และ “ณฐพล บุญประกอบ” ในวันที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก้าวสู่เวทีโลก
KEY
POINTS
- มุมมองจากคนทำหนังสงครามส่งด่วน “วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์” และ “ณฐพล บุญประกอบ” ในวันที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก้าวสู่เวทีโลก
- เปิดเบื้องหลัง จุดเปลี่ยนหนังไทยบทเรียน Global Production ชาเลนจ์ครั้งสำคัญของวงการ
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกำลังขยับขึ้นสู่จุดเปลี่ยนใหม่ หลังคนทำหนังรุ่นใหม่เริ่มแสดงศักยภาพในระดับนานาชาติ
ในงาน Thailand’s Success Stories จัดโดยสมาคมภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Motion Picture Association – Asia Pacific : MPA) ร่วมกับพันธมิตรเพื่อความคิดสร้างสรรค์และความบันเทิง (Alliance for Creativity and Entertainment : ACE) สองคนทำหนังไทย วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการสร้างแห่ง GDH และณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับและนักเขียนบท ได้ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองต่ออนาคตของหนังไทยในเวทีระดับโลก
หนังไทยในระบบ Global Production
วรรณฤดี เล่าว่า เกือบ 20 ปีที่ทำหนังในนาม GDH ได้โฟกัสกับการสร้างคอนเทนต์ไทยเป็นหลัก แต่ช่วงหลังเริ่มอยากขยับไปไกลกว่านั้น อยากลองทำงานในระบบที่ใหญ่ขึ้น ซึ่ง สงครามส่งด่วน (Mad Unicorn) คือจุดเริ่มต้นของการทดลองครั้งนี้ การร่วมงานกับ Netflix ทำให้ทีม GDH ได้สัมผัสระบบการผลิตระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบ
“ในเรื่องสงครามส่งด่วน พูดถึงธุรกิจระดับพันล้าน งบการผลิตก็ต้องอยู่ในระดับร้อยล้าน ซึ่งเกินขอบเขตที่ GDH จะทำได้ด้วยตัวเอง นี่จึงเป็นโอกาสดีมากที่เราจะลองทำงานในสเกล Global Budget ถึงแม้จะยังเล็กเมื่อเทียบกับสตูดิโอต่างประเทศ แต่ก็ใหญ่ที่สุดที่เราเคยทำมา”
ด้าน ณฐพล บุญประกอบ เสริมว่า นี่คือชาเลนจ์ ครั้งใหญ่เพราะเป็นการกำกับงาน Fiction เต็มรูปแบบครั้งแรกหลังจากการทำสารคดีมาก่อน การทำงานร่วมกับ Netflix ทำให้เขาได้เรียนรู้ระบบ Production อย่างละเอียด โดยเฉพาะขั้นตอนการทำงานที่ต้องผ่านแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้ทีมงานสามารถติดตามการทำงานทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creative) และด้านการผลิต (Production) ได้อย่างเป็นระบบ
"การทำสงครามส่งด่วน สำหรับเราเหมือนการทำหนัง 7 เรื่องต่อเนื่องกันเป็นโปรเจกต์แรกที่ได้สัมผัสระบบการทำงานระดับโลกแบบจริงจัง ซึ่งต่างจากการทำหนังไทยมาก"
วรรณฤดี กล่าวว่า ในโปรเจกต์นี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ระบบ legal international ซึ่งต่างจากระบบของไทย แม้ GDH จะมีระบบที่เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว แต่การได้เจอกับมาตรฐานระดับสากลแบบนี้ทำให้เราเข้าใจและพัฒนาไปอีกขั้น
ณฐพล ระบุว่า สิ่งที่ภูมิใจคือ การได้ลองทำโปรดักชันในสเกลใหญ่ที่สุด มันช่วยยกระดับฝีมือทั้งทีมให้พร้อมสำหรับการทำหนังไทยที่สามารถไปต่อในตลาดโลกได้จริง ๆ และพอซีรีส์ออกอากาศ เราก็ได้เห็นฟีดแบกจากผู้ชมทั่วเอเชียและทั่วโลก มันทำให้เราเห็นชัดว่า คนดู Global คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรกับงานของเรา ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลายเป็นประสบการณ์สำคัญสำหรับโปรเจกต์ต่อไป
งบประมาณ กำแพงที่กั้นระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับโอกาส
วรรณฤดี เล่าต่อว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา GDH พยายามผลักดันหนังไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศมาโดยตลอดตั้งแต่ยุค ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ไปจนถึงหนังของสหมงคลฟิล์มอย่าง องค์บาก ซึ่งถือเป็นยุคที่หนังไทยเริ่มเดินทางไปต่างประเทศได้จริง แต่ก็ยังขาดความต่อเนื่อง ทำให้กระแสหยุดเป็นช่วง ๆ
พอเรามีหนังหลากหลายแนวมากขึ้น ทั้งสยองขวัญ แอ็กชัน คอมเมดี้ หนังของ GDH ก็เริ่มฉายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แทบทุกประเทศ จนตอนนี้แทบทุกเรื่องของ GDH เดินทางไปฉายอย่างน้อย 10 ประเทศในภูมิภาคนี้ แต่ในระดับ global เรายังไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะตลาดและขนาดงบยังจำกัดมาก
ทั้งสองคนทำหนังยอมรับตรงกันว่า งบประมาณ คือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อศักยภาพของงานอย่างชัดเจน วรรณฤดีเล่าว่า ในอดีต งบประมาณเป็นเหมือน "กำแพง" ที่แบ่งระหว่างการผลิตหนังต่างประเทศกับการผลิตหนังไทย และมันคือข้อจำกัดที่คนทำหนังไทยทุกคนเข้าใจดี
"เราเคยปลอบใจตัวเองว่าไม่มีงบ ก็ใช้ความคิดสร้างสรรค์สู้ ซึ่งก็จริงในระดับหนึ่ง แต่พอเรามีไอเดียที่ดี แล้วมีงบที่มากพอ มันจะสามารถต่อยอดความคิดนั้นไปได้ไกลขึ้นอีกมาก"
อย่างตอนเราทำแคมเปญออสการ์ เราเคยเอาหนังไทยเรื่องหนึ่งไปเสนอ ซึ่งมีงบเพียงประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ พอไปพูดในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ นักศึกษาถึงกับตกใจ เขาไม่เรียกว่า small budget ด้วยซ้ำ เขาใช้คำว่า very tiny, tiny, tiny budget ฟังแล้วก็ทั้งเขินทั้งภูมิใจซึ่งสะท้อนภาพชัดเจนว่ามาตรฐานงบประมาณของไทยอยู่ตรงไหนในสายตาโลก
“เราเองก็เป็นคนดูหนังต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น มาตรฐานที่เราใช้ในการทำงาน มันคือมาตรฐานเดียวกับคนดูทั่วโลก ไม่ได้มองว่า ‘นี่คือหนังไทย’ หรือ ‘นี่คือหนังฝรั่ง’ แต่จะพิจารณาแต่ละเรื่องตามเนื้องานเลย
ใช้ creativity นำ
เราเห็นหนังต่างประเทศมากมายที่จริง ๆ แล้วไม่ได้มี creativity ที่โดดเด่น แต่เขามี ‘งบประมาณ’ ที่ดี ได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมที่แข็งแรงกว่า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้ในช่วงแรก ๆ คือ พยายามใช้ creativity นำ ก่อน ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือสู้กับข้อจำกัดของงบประมาณ เรารู้ว่าเงินอาจไม่เท่ากัน แต่ความคิดเราสู้ได้เสมอ
"ที่ GDH ทุกคนรู้ว่าเราซีเรียสกับสคริปต์มาก เพราะนี่คือ 'อาวุธเดียว' ที่ใช้งบน้อยที่สุด แต่สร้างพลังมากที่สุด"
วรรณฤดี ยกโปรเจกต์ “หลานม่า” ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 และเป็นงานที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจเลย แต่เขียนบทด้วยหัวใจล้วน ๆ เหมือนกำลังบันทึกความสัมพันธ์ของครอบครัวช่วงที่โลกหยุดเดิน เลือกทุกอย่างด้วยความจริงใจ ตั้งแต่ทีมนักแสดงอาวุโสที่ไม่เคยเล่นหนังมาก่อน มันเสี่ยงมาก แต่เรารู้ว่าความจริงใจแบบนั้นจะทำให้หนังอบอุ่นและสมจริง แต่ยอมรับว่าแม้ตอนแรกจะกังวลว่า "หนังแบบนี้ใครจะอยากมาดูในโรง" แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ "แก่นเรื่องครอบครัว" กลายเป็นภาษาสากลที่คนทั่วโลกเข้าใจ จนทำให้หนังเล็ก ๆ เรื่องนี้เดินทางสู่เวทีโลกและกลายเป็นกระแสไวรัล เพราะมันสามารถแตะใจ คนดูในฐานะความรู้สึกเล็ก ๆ ที่ถูกลืมไป
ปัญหาหนังไทยไม่ใช่ ‘ฝีมือ’ แต่คือโครงสร้างและงบ
ย้ำว่า ถ้าบทแน่น เราไม่จำเป็นต้องพึ่งงบประมาณมหาศาล เพราะสุดท้ายคนดูจ่ายเงินเท่ากัน ไม่ว่าจะดูหนังจากชาติใด ดังนั้นมาตรฐานที่เราใช้ในการทำงานจึงเป็น มาตรฐานเดียวกับคนดูทั่วโลก และไม่ได้มองว่า 'นี่คือหนังไทย' หรือ 'นี่คือหนังฝรั่ง'
วิธีคิดแบบนี้ทำให้เรา “รู้ตำแหน่งของตัวเองบนแผนที่โลก” อยู่ตลอดเวลา ช่วง 10 ปีแรกของการทำงาน เราไม่เคยโทษงบประมาณเลย เพราะเรายังรู้สึกว่าเรายังคิดได้ไม่เก่งพอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอเรามีประสบการณ์มากขึ้น คิดได้ไกลขึ้น ฝันได้ใหญ่ขึ้น เราถึงเริ่มรู้สึกว่า งบประมาณคือข้อจำกัดจริง ๆ เพราะบางครั้งเรามีไอเดียที่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ แต่ทำไม่ได้เต็มที่เพราะทรัพยากรไม่พอ เคยมีครั้งหนึ่ง ตอนที่เราไปถ่ายหนังที่ออสเตรเลีย มีซีนสำคัญที่ต้องถ่ายต่างประเทศ แต่เรามีเวลาถ่ายได้แค่ 2–3 วันเท่านั้น พอเจอกองถ่ายต่างชาติ เราพบว่าฟิล์มครูว์ของเขาไม่ได้เก่งกว่าทีมไทยเลย แต่ค่าตัวสูงกว่าเราหลายเท่า
หรืออย่างตอนถ่าย Friend Zone ที่ฮ่องกง ทีมงานที่นั่นก็มีฝีมือดีมาก คล่องแคล่ว เป็นมืออาชีพ เหมือนทีมไทยทุกอย่าง แต่ค่าแรงสูงกว่าเราประมาณ 5 เท่า แม้แต่คนขับรถตู้ก็ยังแพงกว่าหลายเท่าตัว
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ปัญหาของหนังไทยไม่ใช่ ‘ฝีมือ’ ของคนทำงานเลย แต่คือ ‘โครงสร้างอุตสาหกรรม’ และ ‘งบประมาณ’ ที่ยังไม่เติบโตพอจะรองรับความสามารถของคนไทยได้เต็มที่ต่างหาก”
หนังไทยทุกเรื่องคือหนังอินดี้ของโลก
สำหรับคนทำหนังรุ่นใหม่ เธอเชื่อว่า "หนังไทยทุกเรื่องคือหนังอินดี้ของโลก" เพราะต้องแข่งกับทั้งโลกด้วยทรัพยากรที่จำกัด แต่ถึงจุดนี้ GDH เชื่อว่าพวกเขาพัฒนาด้านความคิดมามากแล้ว สิ่งที่ต้องการต่อไปคือ "การสนับสนุนที่มากกว่าแค่ความคิด" เพื่อให้เกิดโครงสร้างอุตสาหกรรมที่มั่นคงกว่านี้ และไม่ต้องรอแค่ "ผลงานมาสเตอร์พีซ" เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ
หนุน Ecosystem ให้แข็งแรง
วรรณฤดี เล่าว่า สิ่งที่เราอยากเห็นที่สุดจากภาครัฐ ไม่ใช่แค่เงินทุนหรือบัดเจ็ต เพราะแม้รัฐจะสนับสนุน แต่ถ้า Ecosystem ของอุตสาหกรรมมันยังไม่ดี ต่อให้มีเงิน ก็ไม่เกิดความยั่งยืน สิ่งที่เอกชนไม่สามารถทำได้เอง คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย ซึ่งมีแต่รัฐเท่านั้นที่ทำได้ เราอยากเห็นกฎหมายที่ส่งเสริมให้ Ecosystem ของธุรกิจหนังไทยแข็งแรง เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีผู้เล่นใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และสามารถยืนอยู่ได้อย่างเป็นอาชีพจริง ๆ
“เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการจากรัฐ อาจไม่ใช่แค่งบประมาณ แต่คือความเข้าใจ และการร่วมมือกันอย่างแท้จริงระหว่างภาครัฐกับเอกชน ถ้ารัฐแตะถูกจุดเมื่อไร ทุกคนจะสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้พร้อมกัน”


