posttoday

สังฆราช 18 ประโยค

30 มกราคม 2554

แค่ตั้งหัวเรื่องขึ้นมาก็เชื่อว่าหลายคนคงรู้ว่าหมายถึงสมเด็จพระสังฆราช พระนามอะไร ขณะเดียวกันก็เชื่อว่ายังมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักว่าพระองค์เป็นใคร....

แค่ตั้งหัวเรื่องขึ้นมาก็เชื่อว่าหลายคนคงรู้ว่าหมายถึงสมเด็จพระสังฆราช พระนามอะไร ขณะเดียวกันก็เชื่อว่ายังมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักว่าพระองค์เป็นใคร....

โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

แค่ตั้งหัวเรื่องขึ้นมาก็เชื่อว่าหลายคนคงรู้ว่าหมายถึงสมเด็จพระสังฆราช พระนามอะไร ขณะเดียวกันก็เชื่อว่ายังมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักว่าพระองค์เป็นใคร

พระสังฆราช 18 ประโยค เป็นคำเรียกขานเชิงยกย่อง “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช” พระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า “สา” พระนามฉายา “ปุสฺสเทโว” สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม

การที่คนเรียกขานเชิงยกย่องพระองค์อันเป็นที่รู้กันว่า “สังฆราช 18 ประโยค” นั้น ก็เนื่องจากทรงเป็นผู้ที่มีพระอัจฉริยภาพเป็นเลิศ เพราะเป็นผู้ที่สามารถแปลบาลีได้ทั้ง 9 ประโยคในคราวเดียว และเมื่อลาสิกขาไปแล้วกลับมาบวชใหม่ ทรงเข้าแปลใหม่ก็สอบได้ทั้ง 9 ประโยค จนได้รับการยกย่องว่าเป็น สามเณรอัจฉริยะ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ องค์แรก และด้วยเหตุนี้เองผู้คนเมื่อพูดถึงพระองค์ก็มักจะเรียกว่า “สังฆราช 18 ประโยค” เป็นการยกย่องพระอัจฉริยภาพของพระองค์

พระองค์เป็นชาว ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี ประสูติเมื่อปี 2356 ในสมัยรัชกาลที่ 2 บรรพชาเป็นสามเณรในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นสามเณรทรงอยู่วัดใหม่บางขุนเทียน ต่อมาย้ายไปอยู่วัดสังเวชวิศยาราม แล้วไปเรียนพระปริยัติธรรมในพระราชวังบวรกับอาจารย์อ่อน และโยมบิดาของพระองค์เอง ซึ่งเป็นอาจารย์บอกหนังสืออยู่ที่พระราชวังบวรดัวยกัน

ตอนเป็นสามเณรพระชันษา 14 ปี ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งแรก และแปลได้ 2 ประโยค จึงยังไม่ได้เป็นเปรียญ เพราะผู้ที่จะได้เรียกว่าเป็นเปรียญนั้นจะต้องแปลได้ครบ 3 ประโยคในคราวเดียว ตอนนั้นจึงเป็นได้แค่เปรียญวังหน้า

ต่อมาได้เข้าถวายตัวเป็นศิษย์อยู่ในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ขณะนั้นทรงพระผนวชและประทับอยู่วัดราชาธิวาส ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่สำนักวัดราชาธิวาส จนพระพระชันษาได้ 18 ปี จึงได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง และทรงแปลได้หมดทั้ง 9 ประโยค ได้เป็นเปรียญเอก ตั้งแต่ยังทรงเป็นสามเณร นับเป็นสามเณรองค์แรกที่ได้เป็นเปรียญ 9 ประโยค ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

พระองค์ได้อุปสมบท ณ วัดราชาธิวาส ในปี 2376 ต่อมาปี 2379 ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาอยู่ที่วัดบวรนิเวศนิเวศวิหาร และได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ “พระอมรโมลี” เมื่อปี 2382 ขณะมีพรรษา 6 พรรษา และอยู่ในฐานะพระเถระผู้ใหญ่ผู้เป็นต้นวงศ์ของคณะธรรมยุตรูปหนึ่งในสิบรูป

ด้วยเหตุใดไม่ทราบท่านได้ลาสิกขาไปเป็นฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทใหม่ที่วัดบวรนิเวศเมื่อปี 2394 ขณะพระชันษาได้ 38 ปี

ปรากฏว่า เมื่ออุปสมบทแล้วพระองค์ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง และทรงแปลได้หมดทั้ง 9 ประโยคในคราวเดียว ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กล่าวถึงพระองค์ด้วยสมญาว่า สังฆราช 18 ประโยค มาถึงปัจจุบัน

ในคราวอุปสมบทครั้งที่ 2 นั้น ทรงเป็นพระอันดับอยู่ 7 ปี จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ “พระสาสนโสภณ” คนทั่วไปเรียกกันโดยย่อว่า “เจ้าคุณสา”

ในปี 2408 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากวัดบวรนิเวศมาครองวัดราชประดิษฐ์ฯ เป็น|เจ้าอาวาสองค์แรก

ปี 2415 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ “พระธรรมวโรดม” แต่คงใช้ราชทินนามเดิมว่า พระสาสนโสภณ

ปี 2422 ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” เจ้าคณะฝ่ายเหนือ และในปี 2434 ได้รับการสถาปนาเพิ่มอิสริยยศให้เป็นพิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อนมา คือ ทรงสถาปนาให้เป็น “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ” นับว่าเป็นรูปที่ 2 ที่ได้รับสถาปนาในพระราชทินนามนี้อันเป็นพระราชทินนามตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท