posttoday

หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม สันติธัมโมจารึกนาม(1)

23 มกราคม 2554

การธุดงค์ ทำให้ประจักษ์ในอานุภาพของพระวินัยซึ่งท่านได้ยึดถืออย่างเคร่งครัด ตามที่ได้รับการอบรมมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ตลอดมา....

การธุดงค์ ทำให้ประจักษ์ในอานุภาพของพระวินัยซึ่งท่านได้ยึดถืออย่างเคร่งครัด ตามที่ได้รับการอบรมมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ตลอดมา....

โดย...ภัทระ คำพิทักษ์

พระอาจารย์บุญกู้ อนุวัฑฌโน บอกว่า นอกจากเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ขยันขันแข็งในการปฏิบัติครูบาอาจารย์แล้ว พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม ยังขึ้นชื่อในเรื่องความเอื้อเฟื้อต่อหมู่คณะมาก เมื่อมีพระใหม่มา พระอาจารย์ฟักจะเป็นเสมือนพระพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำดูแลช่วยเหลือ บางครั้งถ้ามีพระหรือเณรป่วยก็จะดูอย่างดี

“เหมือนท่านจะเป็นหมอแทนเลยทีเดียว” พระอาจารย์บุญกู้ ว่า

ตัวอย่างอันดีในเรื่องนี้คือ การดูแล พระอาจารย์ปัญญา ปัญญาวฑโฒ ซึ่งเป็นพระฝรั่ง ซึ่งเดิมบวชมหานิกายมาจากวัดปากน้ำ เมื่อมาใหม่ๆ นั้นพระอาจารย์ปัญญายังชินอยู่กับการฉันขนมปัง ไม่สามารถฉันข้าวได้อย่างองค์อื่นๆ พระอาจารย์มหาบัวจึงอนุญาตให้ท่านฉันโอวัลตินก่อนเที่ยงได้

เมื่อพระอาจารย์ฟักทราบว่าพระอาจารย์ปัญญาฉันข้าวไม่ได้ ฉันได้แต่ผลไม้ จึงสั่งให้ ด.ช.สนิท ซึ่งปัจจุบันคือ พระอาจารย์สนิท วัดเขาน้อยสามผาน ไปคอยเก็บมะละกอซึ่งมีอยู่ดาษดื่นในขณะนั้นมาถวายพระอาจารย์ปัญญา ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์ปัญญาจึงได้อาศัยฉันมะละกอผลโตๆ เพียงลูกเดียว เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณเดือนกว่าๆ จึงค่อยๆ เริ่มฉันข้าวได้ โดยตลอดเวลานั้นพระอาจารย์ฟักเป็นผู้คอยดูแลเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา

 

หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม สันติธัมโมจารึกนาม(1)

แม้การตรวจบทเทศน์เป็นเรื่องที่พระอาจารย์ฟัก “ไม่ถนัด ไม่ค่อยได้ทำนัก” อย่างที่พระอาจารย์บุญกู้ว่าไว้ แต่มีเทศนาของพระอาจารย์มหาบัวอยู่ 2 กัณฑ์ที่พระอาจารย์ฟักเป็นผู้ถอดเทปเทศนานั้นด้วยองค์ท่านเอง และมีศรัทธาในเทศนา 2 กัณฑ์นั้นมากถึงกับเคยปรารภกับพระอาจารย์มหาบัวว่า ขอลิขสิทธิ์เทศนาทั้ง 2 กัณฑ์นั้นแก่ท่านได้ไหม

พระอาจารย์บุญมี ปริปุณโณ นั้นเล่าว่า “ท่านอาจารย์ฟักเข้ามาที่วัดบ้านตาดตั้งแต่ปี 2504 พร้อมกับ ท่านอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท แต่ท่านอาจารย์ฟักสนิทกับท่านอาจารย์แสวงมากที่สุดระหว่างที่อยู่บ้านตาด ท่านเป็นคนมีฝีมือทางช่างมาก ฝีมือแนบเนียน จึงได้รับผิดชอบงานสร้างกุฏิ โรงครัวและรั้ววัด

ท่านเป็นผู้มีนิสัยเรียบร้อย รักและเทิดทูนพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวเป็นที่สุด ท่านไม่เคยโดนดุ คงเคยสร้างบารมีมาด้วยกัน อาจจะเป็นลูกท่านมาก่อน”

หากยกถ้อยคำของพระอาจารย์บุญมีเรื่อง พระอาจารย์มหาบัวและพระอาจารย์ฟักเคยสร้างบารมีมาด้วยกัน “อาจจะเป็นลูกท่านมาก่อน” มาวางต่อเนื่องกับถ้อยคำของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับเหล่าศิษย์ที่ได้พึ่งใบบุญของพระอาจารย์มหาบัวได้มาเกี่ยวข้องกันในชาตินี้ภพนี้แล้ว จะเห็นวาสนาบารมีที่แต่ละท่านได้เกื้อกูลกันมาอย่างน่าอัศจรรย์

ความเกี่ยวเนื่องในอดีตชาติระหว่างพระอาจารย์มหาบัวกับคุณแม่ชีแก้วนั้น เป็นที่มาของคำชี้แนะของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ต่อคุณแม่ชีแก้วว่า ให้รอพระรูปหนึ่งมาโปรด ถึงเวลาแล้วจะรู้เอง ซึ่งต่อมาพระรูปที่มาโปรดเช่นว่าจริงๆ ก็คือ พระอาจารย์มหาบัวนั่นเอง

ส่วนพระอาจารย์สิงห์ทองซึ่งเป็นศิษย์ตั้งแต่ยุคห้วยทรายและติดตามพระอาจารย์มหาบัวไปยัง จ.จันทบุรี และบรรลุธรรม|ที่ จ.จันทบุรี นั้น ก็เคยเป็นบุตรพระอาจารย์มหาบัวมาแต่ในอดีตชาติ

ก่อนหน้าที่พระอาจารย์เพียรจะเดินทางมาถึงสำนักห้วยทรายเพื่อรับการชี้แนะจากพระอาจารย์มหาบัวนั้น คุณแม่แก้วก็ได้พูดขึ้นก่อนที่พระอาจารย์เพียรจะเดินทางมาถึงสำนักของท่านก่อนที่จะเข้าไปยังสำนักห้วยทรายว่า “...วันนี้ลูกชายของเราจะมา...”

ตกบ่ายวันนี้ก็มีแต่พระอาจารย์เพียรเพียงรูปเดียวที่เดินทางมาถึง

ต่อเมื่อพระอาจารย์เพียรได้เข้าอยู่ในสำนักห้วยทรายแล้ว คุณแม่แก้วจึงได้บอกให้ท่านทราบในภายหลังว่า “ท่าน (หลวงปู่เพียร) เคยเกิดเป็นลูกชายในอดีตชาติของคุณแม่แก้ว โดยมีองค์หลวงตาเป็นพ่อ และมีท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเป็นพี่ชายในชาตินั้น”

ขณะที่พระอาจารย์เพียรเองก็ได้กล่าวถึงพระอาจารย์บุญมี กัลยาณมิตรธรรมร่วมสำนักห้วยทรายว่า ท่านกับพระอาจารย์บุญมีนั้น “เป็นหมู่กัน เป็นเพื่อนกัน ได้สร้างบารมีมาด้วยกันหลายภพหลายชาติแล้ว” (จากหนังสือท่านเพียร ศิษย์ก้นกุฏิของเรา)
สำหรับพระอาจารย์ทองนั้นก็ได้กล่าวว่า พระอาจารย์ฟักกับท่านนั้น “ในอดีตชาติก็เกี่ยวข้องกันอยู่”

เกี่ยวข้องเพราะ พระอาจารย์บุญช่วย ปญฺญวนฺโต วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามได้นำ แม่ชีเอิน ซึ่งเป็นน้องสาวของพระอาจารย์ทองซึ่งบวชอยู่ที่วัดอโศการามไปอยู่ที่วัดเขาน้อยสามผาน ต่อมาแม่หยัดซึ่งเป็นพี่สาวของแม่ชีเอินก็ได้ตามไปอยู่ที่นั่นเช่นกัน ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ช่วยกันดูแลปรนนิบัติโยมเจน โยมมารดาของพระอาจารย์ฟักราวกับมารดาตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่คงจะมีบุพเพสันนิวาสต่อกันมา จึงเป็นเหตุให้พระอาจารย์ทองได้กล่าวเช่นนั้น

พระอาจารย์ฟักอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านตาดเป็นเวลา 6 พรรษา ระหว่างนั้นบางครั้งบางคราวก็ได้กราบลาพระอาจารย์มหาบัวออกไปวิเวกบ้างชั่วคราว เช่น ขอลาธุดงค์ไปภาวนาที่ถ้ำระฆัง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์ลีเคยไปภาวนา มีสภาพกันดารน้ำมาก ต้องรองน้ำจากหินที่ซึมหยดลงมาใช้ดื่ม บางคราวก็ไปภาวนาที่วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร ดังที่ปรากฏหลักฐานว่า ช่วงนั้นท่านเคยมีจดหมายไปถึงโยมบิดาและมารดาหลายฉบับ บางช่วงก็ไปภาวนาที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร บางหนก็ลามาดูแลโยมบิดามารดาซึ่งเริ่มป่วยไข้ ฯลฯ

การธุดงค์ ทำให้ประจักษ์ในอานุภาพของพระวินัยซึ่งท่านได้ยึดถืออย่างเคร่งครัด ตามที่ได้รับการอบรมมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ตลอดมา กล่าวคือ ครั้งหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปในป่ากับพระอีกรูป ต่อมาท่านรูปนั้นได้รับการถวายเกลือจากชาวบ้าน ซึ่งตามปกติแล้วพระสามารถเก็บเกลือไว้ใช้ได้ตลอดไม่จำกัดกาล แต่พระอาจารย์ฟักพิจารณาแล้วได้แย้งว่า เกลือนั้นน่าจะเปื้อนอามิส (เช่น อาหาร เป็นต้น) มาก่อนแล้วให้ทิ้งไปเสีย แต่พระรูปนั้นยังเก็บไว้อยู่ พอตกกลางคืนปรากฏว่ามีมดง่ามมาตอมที่พักเต็มไปหมด พระรูปนั้นจึงต้องรีบปลงอาบัติในทันที

“พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านสอนว่า ให้รักษาพระวินัยไว้ เมื่อเราอยู่ป่าพระวินัยจะคุ้มครองเรา...” ท่านว่า

วันหนึ่งในปี 2493 ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ซึ่งพระอาจารย์มหาบัวบรรลุธรรมนี้เอง ที่ท่านภาวนาแล้ว “วันนั้นจิตสงบดีทั้งวันทั้งคืนเลย”

ท่านจึงได้มาบอกสอนในกาลต่อมาว่า หากมี “ความตั้งใจพยายามหรือความเอาใจใส่ เรียกว่า อิทธิบาท 4 ฉันทะ พอใจ วิริยะ เพียร จิตตะ ความเอาใจจรดจ่อ วิมังสา ใคร่ครวญพิจารณาธรรม ไม่ให้เผลอไปจากองค์ภาวนา ถ้าไม่เหลือวิสัยต้องได้พบความสงบไม่มากก็น้อย ไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่ง ก็ต้องได้ประสบสักครั้งหนึ่ง ความเพียรหรือความขยันจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของเขา เรียกว่าเพียรหรือเพียรอยู่ภายใน ไม่ว่าจะทำภารกิจภายนอกอย่างไรก็ตาม ทำข้อวัตร ตักน้ำหรือหาบน้ำ เดินบิณฑบาต ปัดกวาดก็เหมือนกัน ความเพียรภายในไม่มีขาด ต่อเนื่องไปโดยลำดับ เป็นไปโดยธรรมชาติ เรียกว่า อัตโนมัติ สติปัญญาธรรมชาติก็เกิดขึ้นด้วย...”

พระอาจารย์ฟักดำเนินอยู่ในวิถีนั้น กระทั่งปี 2510 จึงมีเหตุให้ท่านต้องอำลาวัดบ้านตาดและพ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์มหาบัว ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนสุดหัวใจไปโดยไม่อาจหวนกลับมาใช้ชีวิตดังเช่น 6 ปีที่ผ่านมาอีกต่อไป

‘สันติธัมโม’ จารึกนาม

ในปี 2510 พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม กลับ จ.จันทบุรี

“ท่านฟักเป็นพระวัดบ้านตาด แต่ลาไปเยี่ยมพ่อบ้างเยี่ยมแม่บ้าง จนกลายเป็นสมภารวัดเขาน้อยไป” พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน กล่าวถึงเหตุผลที่พระอาจารย์ฟักต้องอำลาชีวิตวัดบ้านตาดกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาน้อยสามผาน แต่ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือ พระอาจารย์มหาบัวบอกให้พระอาจารย์ฟักกลับมาดูแลโยมบิดาโยมมารดา

เมื่อเข้าไปลานั้น พระอาจารย์มหาบัวได้กล่าวต่อท่านว่า “ท่านฟักพอจะตั้งไข่ได้แล้ว แต่ทางจันทบุรียังไม่มีใคร ให้กลับมาพัฒนา”

วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี นี้ แต่เดิมเป็นที่พักสงฆ์ ซึ่งเป็นสาขาของวัดอโศการาม เพราะพระอาจารย์ลี ธัมมธโร ได้เดินธุดงค์ผ่านมาแล้วบอกว่า ที่ดินบนเขานี้ไม่มีเจ้าของ เป็นที่รกร้าง ถ้าทำเป็นที่พักสงฆ์จะเหมาะกว่าข้างล่าง เมื่อชาวบ้านสามผานได้ช่วยกันสร้างกุฏิเล็กๆ ได้ 2-3 หลัง แล้วไปนิมนต์ขอพระสงฆ์กับพระอาจารย์ลีที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี พอดี พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโร เพิ่งเดินทางมาจาก จ.อุดรธานี จึงรับมาจำพรรษาให้

ที่พักสงฆ์แห่งนี้มักมีอาจารย์องค์สำคัญๆ จาริกผ่านไปผ่านมาเสมอ เช่น พระอาจารย์ลี พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร รวมทั้ง พระอาจารย์มหาบัว ด้วย พ่อแม่ครูอาจารย์เหล่านั้นได้สรรเสริญสถานที่แห่งนี้ไว้ อาทิ พระอาจารย์ลีพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ปี 2499 ว่า สถานที่ตรงนี้ต่อไปจะกลายเป็นวัดและจะมีการสร้างพระเจดีย์ขึ้นด้วย โดยได้ระบุจุดที่จะมีการ สร้างพระเจดีย์ในอนาคตไว้ด้วยว่า จะอยู่บริเวณใดและได้ฝากพระพุทธรูปเนื้อดิน 10 องค์ ไว้บรรจุในพระเจดีย์องค์นี้ด้วย

พระอาจารย์ฝั้นนั้น เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งมาเยือนสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า “เขาน้อยนี่ น้อยแต่ชื่อนะ ในภาคตะวันออกนี้ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่”

พระอาจารย์มหาบัวก็เคยพูดว่า “ใครว่าพวกกายทิพย์ไม่มีจริงมาดูนี่ที่ วัดเขาน้อยนี่เต็มไปหมดเลย”

ในยามที่พระอาจารย์ฟักจะออกจากวัดป่าบ้านตาดเพื่อกลับมาอยู่วัดเขาน้อยสามผาน ซึ่งครั้งนั้นยังเป็นแต่สำนักสงฆ์ แม้สำนักสงฆ์แห่งนี้จะอยู่ใกล้กับบ้านเดิมของท่านมากที่สุด เหมาะที่จะจำพรรษาเพื่อจะได้ดูแลโยมบิดา “สังข์” และโยมมารดา “เจน” อย่างใกล้ชิด แต่ก็เป็นสำนักสงฆ์ที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างถาวรอะไรเลย พระอาจารย์มหาบัวได้บอกให้พระอาจารย์ฟักนำเงินติดตัวกลับมาด้วย “จะเอาเท่าไหร่ก็ได้” แต่ข้างลูกศิษย์ก็เกรงใจไม่อยากจะรับเงินพ่อแม่ครูอาจารย์ แต่ในที่สุดด้วยความเกรงใจที่พ่อแม่ครูอาจารย์คะยั้นคะยอ ท่านจึงขอรับเงินมา 2 หมื่นบาท

ด้วยปัจจัยจำนวนนี้ เมื่อกลับมาและนำกลับมาสร้างได้เพียงห้องน้ำและบันไดเงินก็หมดพอดี

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ