posttoday

จุฬาฯ ชี้เด็กไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปมีหนี้เร็วขึ้น ผู้ใหญ่ขาดทักษะแก้หนี้สิน

02 มกราคม 2567

จุฬาฯ เปิดผลสำรวจดัชนีความพร้อมเพื่อการเกษียณแห่งชาติ พบวัยผู้ใหญ่ต้องเน้นทักษะการจัดการปัญหานี้สินเป็นหลักและควรมีรายได้หลังเกษียณเพียงพอที่ 15,000 - 25,000 บาท ส่วนเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไปพบเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้พุ่งสูง ต้องหามาตรการป้องกัน

ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ  เปิดผลการสำรวจ “ดัชนีความพร้อมเพื่อการเกษียณแห่งชาติ” (National Retirement Readiness Index :NRRI) ประจำปี 2566 พร้อมระดมสมองกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แลกเปลี่ยนความคิดภายใต้หัวข้อ “การเตรียมความพร้อม เพื่อการเกษียณอายุ เรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด” และ “ทักษะทางการเงินและทักษะทางดิจิทัลของคนไทย” เพื่อร่วมวางมาตรการกระตุ้นการออม

 

ผศ.ดร.รัฐชัย ศีลาเจริญ หัวหน้าภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯกล่าวว่า ดัชนีชี้วัดความพร้อมเพื่อการเกษียณ หรือ NRRI เกิดจากการสำรวจข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จัดทำทุก 2 ปี เป็นดัชนีที่ครอบคลุมทั้งความมั่นคงทางการเงิน และความมั่นคงด้านสุขภาพคุณภาพชีวิต  

ผลการสำรวจในปีนี้จากประชากร 2,464 คน พบว่าคนไทยมีความพร้อมเพื่อการเกษียณอยู่ในระดับปานกลาง ผลการวิจัยทำให้เห็นว่าคนไทยยังออมเงินไม่พอ เป็นแรงผลักดันให้คณะผู้วิจัยต้องการให้ NRRI เป็นเครื่องมือให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดและวางมาตรการส่งเสริมการออม ทำให้คนไทยมีทักษะด้านการจัดการเงินไม่ใช่เพียงแค่การรอบรู้เท่านั้น แต่ต้องนำไปสู่การปรับพฤติกรรมด้วย ซึ่งการส่งเสริมการออมนั้นจะต้องมีแนวทางที่แตกต่างของคนแต่ละกลุ่มวัย ในส่วนของวัยผู้ใหญ่จะต้องเน้นทักษะการจัดการปัญหาหนี้สินเป็นหลัก  

กลุ่มเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต ต้องเน้นมาตรการเชิงป้องกัน โดยสอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรการเงินส่วนบุคคลในโรงเรียน และสถาบันการศึกษา แต่ต้องปรับโจทย์ใหม่มุ่งไปที่กระตุ้นการออมโดยตรง รวมถึงต้องให้ทักษะด้านดิจิทัลไปพร้อมกัน 

 

ด้าน รศ.ดร.อนิรุต พิเสฎฐศลาศัย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการเงินและบัญชี และอาจารย์ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ กล่าวว่า จากข้อมูลรายได้หลังเกษียณที่จะทำให้ประชาชนมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนเพียงพอ ต้องอยู่ระหว่าง 15,000 – 25,000 บาท ซึ่งพบว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากที่รายได้ไม่ถึง สิ่งที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน คือการเพิ่มการรอบรู้ด้าน Financial Literacy และ Health Literacy เพื่อนำไปสู่การวางแผนจัดการด้านการเงินส่วนบุคคลให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความมั่นคงทางการเงิน และความมั่นคงด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระดับต่ำ ได้แก่ กลุ่มอาชีพอิสระ ลูกจ้าง และคนทำงานรับจ้าง อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง อายุระหว่าง 18-29 ปี ขณะที่กลุ่มคนที่มีความพร้อมสูง ได้แก่ เจ้าของกิจการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ

ข่าวล่าสุด

DITP พา 30 บริษัทไทยบุกจีนตะวันตก ปิดดีลอาหาร–สัตว์เลี้ยง 102 ล้าน