posttoday

ศึกษาร่องรอยธรรม... พระพุทธศาสนาในชมพูทวีป (ตอน๓)

22 ธันวาคม 2553

ปุจฉา : อาตมาเพิ่งเดินทางกลับมาจากไปบรรยายธรรมให้ชาวพุทธในอินเดียฟังในหลายเมืองใหญ่ ได้แก่ นครมุมไบ (บอมเบย์) นครนาคปุระ นครอัมราวตี และนครออรังกาบาด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวพุทธในอินเดีย ที่สำคัญยิ่ง ด้วยตัวเลขประชากรชาวพุทธมากกว่า ๘ ล้านคน จากจำนวนยอดรวม ๑๐ กว่าล้านคนของชาวพุทธในชมพูทวีป (อินเดีย) ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่รัฐมหาราษฏระแห่งนี้

ปุจฉา : อาตมาเพิ่งเดินทางกลับมาจากไปบรรยายธรรมให้ชาวพุทธในอินเดียฟังในหลายเมืองใหญ่ ได้แก่ นครมุมไบ (บอมเบย์) นครนาคปุระ นครอัมราวตี และนครออรังกาบาด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวพุทธในอินเดีย ที่สำคัญยิ่ง ด้วยตัวเลขประชากรชาวพุทธมากกว่า ๘ ล้านคน จากจำนวนยอดรวม ๑๐ กว่าล้านคนของชาวพุทธในชมพูทวีป (อินเดีย) ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่รัฐมหาราษฏระแห่งนี้

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

 

ศึกษาร่องรอยธรรม... พระพุทธศาสนาในชมพูทวีป (ตอน๓)

ปุจฉา : อาตมาเพิ่งเดินทางกลับมาจากไปบรรยายธรรมให้ชาวพุทธในอินเดียฟังในหลายเมืองใหญ่ ได้แก่ นครมุมไบ (บอมเบย์) นครนาคปุระ นครอัมราวตี และนครออรังกาบาด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวพุทธในอินเดีย ที่สำคัญยิ่ง ด้วยตัวเลขประชากรชาวพุทธมากกว่า ๘ ล้านคน จากจำนวนยอดรวม ๑๐ กว่าล้านคนของชาวพุทธในชมพูทวีป (อินเดีย) ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่รัฐมหาราษฏระแห่งนี้

“พุทธศตวรรษที่ ๖ เป็นต้นมา โดยได้มีการไปเจริญเติบโตอยู่ในลังกา พม่า และไทย (สุวรรณภูมิ) ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธฝ่ายใต้ ดังนั้น พุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในชมพูทวีป ณ พุทธศตวรรษที่ ๖ เป็นต้นไป จึงเป็นพุทธศาสนามหายานล้วนๆ ซึ่งต่อมาได้แตกตัวไปเป็นพุทธตันตระ หรือ พุทธวัชรยาน ว่ากันว่า “ภิกษุมีเมียได้ ถือว่า การเสพเมถุนให้มาก ไปพระนิพพานได้”

วิสัชนา : ใน ๑๐๐ ปีต่อมา หลังอัศวโฆษ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗ นาคารชุนได้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายศูนยตาขึ้น (มธยมิกนิกาย) โดยมุ่งเน้นคำสอนกลับไปสู่หลักอนัตตา และปฏิเสธแนวคำสั่งสอนของพราหมณ์ จึงได้ถูกก่อตัวขัดขวางจากพวกพราหมณ์ จนต้องถอยหนีไปอยู่ตอนเหนือ และต่อมาได้เคลื่อนตัวไปอยู่ในเมืองจีน ในนาม “นิกายเซี่ยงจง” และใน ๕๐๐ ปีต่อมาหลังอัศวโฆษ (หรือประมาณ ๔๐๐ ปีหลังนาคารชุน) ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐–๑๑ ได้เกิดพุทธศาสนานิกายวิญญาณวาท (โยคาจาระ) โดยมี อสังคะ และวสุพัน เป็นผู้สอน ซึ่งเป็นไปตามวิถีแห่งพุทธมหายาน (ปฏิเสธพุทธเถรวาท)

โดยพุทธมหายานในรูปอสังคะมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพุทธนิกายลามะ พุทธนิกายนิชิเรน ฯลฯ พุทธมหายานในรูปอสังคะ มีมหาชนนิยมมาก พวกพราหมณ์ก็สนับสนุน เพราะยึดหลักเทวนิยมเหมือนกัน ไม่เรียนรู้เรื่องพระธรรมวินัยที่แท้จริง จึงนำไปสู่การลดระดับการปฏิบัติตนลงมาประพฤติตนดุจชาวบ้านผู้ครองเรือน สมดังที่หลวงจีนฟาเหียน เคยบันทึกไว้เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๐๐๐ ว่า “ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ถือศีล ๕ ข้อเท่านั้น”

หากลองสอบสวนร่องรอยจากกงล้อประวัติศาสตร์แห่งธรรม ก็จะพบว่าพุทธศาสนาตามมติดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาจากปฐมสังคายนานั้น ได้สูญหายไปจากชมพูทวีปแล้ว ในประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖ เป็นต้นมา โดยได้มีการไปเจริญเติบโตอยู่ในลังกา พม่า และไทย (สุวรรณภูมิ) ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธฝ่ายใต้ ดังนั้น พุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในชมพูทวีป ณ พุทธศตวรรษที่ ๖ เป็นต้นไป จึงเป็นพุทธศาสนามหายานล้วนๆ ซึ่งต่อมาได้แตกตัวไปเป็นพุทธตันตระ หรือ พุทธวัชรยาน ว่ากันว่า “ภิกษุมีเมียได้ ถือว่า การเสพเมถุนให้มาก ไปพระนิพพานได้” และในต่อมา ได้เกิดความสืบเนื่องของพุทธมหายานสู่นิกาย “มนตรายาน”

นิยมไสยศาสตร์ เวทมนตร์ และคาถา เป็นไปคล้ายคำสอนตามแบบของพราหมณ์ ซึ่งในขณะนั้น ต้องยอมรับว่า พระพุทธศาสนาแท้จริงได้หมดสิ้นไปจากชมพูทวีปแล้ว โดยได้ถูกกลืนเข้าไปเป็นกิ่งก้านของศาสนาพราหมณ์เรียบร้อยทุกประการ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาการสู่ความเป็นศาสนาฮินดู เกิดหลังพุทธกาล ๑,๒๐๐ ปี โดยยึดถือลัทธิคำสั่งสอนของท่านสังกราจารย์ หรือ สังฆรัตนะ มีการปฏิรูปลัทธิพราหมณ์เสียใหม่

โดยนำเอาหลักธรรมแบบแผนดีๆ จากพุทธศาสนา และศาสนา ลัทธิต่างๆ มาผสมผสาน รวบรวมเข้าแปรรูปถอดแบบเป็นศาสนาฮินดู เพื่อครอบคลุมแล้วสลายรูปแบบในศาสนาอื่น ให้มาปรากฏอยู่ในศาสนาฮินดู และกล่าวอ้างว่า ศาสนาหรือลัทธินั้นๆ เป็นส่วนหนึ่ง หรือ สาขาหนึ่งของศาสนาฮินดู มีการสอนในศาสนาฮินดูว่า พระพุทธเจ้า คือ พระนารายณ์อวตารลงมาในมนุษย์ปางหนึ่ง เรียกว่า “ปางพุทธอวตาร” เพื่อดำเนินอุบายกลืนพระพุทธศาสนา ซึ่งถือได้ว่า ทำได้สำเร็จ

จนพุทธศาสนาสูญเสียสภาพไม่เหลือเค้ามูลรากฐานเดิม และในปีพุทธศักราชประมาณ ๑,๗๐๐ (พ.ศ. ๑๗๓๕) กษัตริย์ผู้ครองแคว้นต่างๆ ในอินเดีย เกิดทะเลาะวิวาทกันเอง มีการไปติดต่อจ้างพวกมุสลิมมาช่วยรบ เลยกลายเป็นชักศึกเข้าบ้าน ต่อมา มูหมัดโฆรี ได้นำกองทัพมุสลิมมาตีอินเดียได้ แล้วตั้งวงศ์กษัตริย์มุสลิมขึ้นปกครอง ซึ่งกษัตริย์มุสลิมสมัยต่อมาได้ใช้อำนาจเด็ดขาด บังคับให้ชาวอินเดียนับถือศาสนาอิสลาม มีการข่มเหงทำลายศาสนาอื่น โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่ได้รับผลกระทบกระเทือนมากที่สุด เพราะมีอุโบสถ วิหาร ทรัพย์สินในวัดมากมาย อย่างเช่น มหาวิทยาลัยพุทธศาสนา “นาลันทา” ซึ่งถูกปล้นเผาทำลายลงสิ้น อันเป็นเหตุหนึ่งที่สำคัญของการสูญสิ้นไปของพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป

อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้

 

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย