คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน๑๒)
ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
โดย....พระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
ได้อ่านธรรมส่องโลก ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญญัติวินัย ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ ถึงขั้นปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระสงฆ์ และท่านอาจารย์เทียบเคียงให้เห็นคุณประโยชน์ของการบัญญัติวินัยหรือศีลไว้อย่างแข็งแรงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ประพฤติออกนอกกรอบความเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อ่านแล้วได้สาระความรู้อย่างยิ่งในสิกขาบทที่ ๒ จากจำนวน ๔ สิกขาบทของโทษปาราชิก
จึงใคร่ขอให้ท่านอาจารย์แสดงความสำคัญในเนื้อหาสาระอีก ๓ สิกขาบท ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีสาระที่จะนำมาใช้ประโยชน์กับการบริหารประเทศอย่างไรบ้าง หากไม่เป็นการรบกวน ขอพระอาจารย์ช่วยเขียนตอบให้ด้วย ผ่านคอลัมน์ธรรมส่องโลก เพื่อการศึกษาของชาวพุทธที่ควรรู้
นมัสการด้วยความเคารพยิ่ง
ศรัทธาธรรมส่องโลก
“จะต้องเป็นไปตามพุทธประเพณี เป็นไปตามพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ เป็นการใช้อำนาจตามธรรม เรียกว่า ธรรมาธิปไตย จึงต้องให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวไปตามธรรม สมควรแก่ธรรม”
วิสัชนา : จะพึงได้รับจากการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบแห่งสิกขาบทน้อยใหญ่ ซึ่งจะพึงได้รับนั้นมี ๕ ประการ คือ
๑.สีลขันธ์ของตนเป็นอันคุ้มครองมีแล้ว
๒.เป็นที่พึงของภิกษุผู้มักระแวงสงสัย
๓.เป็นผู้กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์
๔.ข่มเหล่าคนผู้เป็นข้าศึกได้ราบคาบดีโดยสหธรรม
๕.เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
หากจะมีคำถามต่อเนื่องว่า “เอ๊ะ! แล้วทำไม พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ให้สมบูรณ์เสียเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องรอให้มีผู้ประพฤติปฏิบัติผิดเกิดขึ้น จนนำมาเป็นปฐมเหตุในการบัญญัติสิกขาบทนั้น” ก็คงจะตอบได้ว่า การที่ทรงปฏิบัติในเรื่องใดๆ ของพระองค์นั้น “จะต้องเป็นไปตามพุทธประเพณี เป็นไปตามพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ เป็นการใช้อำนาจตามธรรม เรียกว่า ธรรมาธิปไตย จึงต้องให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวไปตามธรรม สมควรแก่ธรรม”
ต่อไปเบื้องหน้า ซึ่งจะได้ไม่มีใครมาว่าได้ว่า พระธรรมวินัยนี้ เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ เป็นสำคัญ อันจะถูกครหาดังกล่าวได้ว่า พระองค์มิได้รับฟังเสียงจากภายนอกเลย ประการสำคัญ ซึ่งทรงแสดงพุทธจริยาดังกล่าว เพื่อแสดงให้หมู่สาวกและชนทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า แม้พระองค์ก็ยังให้ความเคารพในพระธรรมเป็นใหญ่ ดุจดังพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ดังพระบาลีที่ว่า “เย จ พุทฺธา อตีตา จ เย จ พุทฺธา อนาคตา ปจฺจุปฺปนฺนา จ เย พุทฺธา อหํ สทฺธมฺม ครุโย” ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตในกาลไหนๆ แม้แต่ในอนาคต หากเป็นสัตบุรุษ มีการเรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับในสัจธรรม
ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงมีพระสัพพัญญู แม้จะรู้แจ้งในทุกๆ เรื่องได้ตามพระประสงค์ และแม้ว่าจะทรงทราบอยู่ที่ย่อมตรัสก็มี และทรงทราบอยู่ที่ย่อมไม่ตรัสก็มี ทรงทราบแล้วตรัสถาม ทรงทราบแล้วไม่ตรัสถาม ย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ นี่เป็นพุทธจริยาอันสวยงามและบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ทรงจำกัดด้วยข้อปฏิบัติ
อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้


