อันชื่อ(หนัง)นั้น สำคัญฉะนี้
หลักสำคัญที่ตัวเองใช้สำหรับการตั้งชื่อหนัง คือชื่อต้องฟังแล้วสะดุดหู เหมาะกับแนวของหนัง ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามจะให้มีความเชื่อมโยงกับชื่อภาษาอังกฤษ หรือมีสัมผัสที่มีความเชื่อมต่อกับชื่อต้นฉบับภาษาอังกฤษ
หลักสำคัญที่ตัวเองใช้สำหรับการตั้งชื่อหนัง คือชื่อต้องฟังแล้วสะดุดหู เหมาะกับแนวของหนัง ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามจะให้มีความเชื่อมโยงกับชื่อภาษาอังกฤษ หรือมีสัมผัสที่มีความเชื่อมต่อกับชื่อต้นฉบับภาษาอังกฤษ
เรื่อง วิชชญะ ยุติ
แรงส์!!!
เปล่าว่าใครนะตัวเอง ที่แรงน่ะเราหมายถึงชื่อหนังสมัยนี้ต่างหาก
“อีเห็ดสด เผด็จศึก” แรงไม่เท่าไหร่ แต่แซบนี่สิ หลายๆ คนบอก ชนะเลิศเลยฮ่า
“หอแต๋วแตก แหกชิมิ” แรงกว่าเรื่องแรก เพราะดีกรีความแรงของหล่อนดันไปเจอตอเบ้อเร่อ อะ...ก็กองเซ็นเซอร์ไงจ๊ะ ไม่ให้ผ่านเฉยเลย ตรงที่ใช้คำว่า “แหก” ทำเอาผู้กำกับ พจน์ อานนท์ ต้องออกมากรี๊ดดดดดดังๆ (ใส่หน้ากองเซ็นเซอร์) พร้อมทั้งจำใจเปลี่ยน “แหก” มาเป็น “แหวก” เพื่อลดทอนความแรงลง สุดท้ายจึงมาสรุปที่ “หอแต๋วแตก แหวกชิมิ”
“พอไม่ผ่านเราก็มานั่งคิดว่าจะเอาหอแต๋วแตกแหกอะไรดี จริงๆ ชื่อมันมาจาก ‘หอแต๋วแตก แหกกระเจิง’ ในภาคแรก แล้วจะให้เราเปลี่ยนมาเป็น ‘หอแต๋วแตก แหกกระเจิงชิมิ’ มันก็ไม่ได้ เลยเป็น ‘หอแต๋วแตก แหกชิมิ’ ซึ่งตอนที่ไปกองเซ็นเซอร์ คำที่ไม่ผ่านคือ แหก เพราะเขากลัวมันจะเพี้ยนไปเป็นแหกอะไรที่ไม่ใช่ชิมิ” พจน์เปิดอกในวันแถลงข่าว
เรื่องเหมือนจะจบด้วยดี ทว่ารองนายกฯ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” ก็มีคอมเมนต์ในเรื่องคำ “ชิมิ” เกรงจะสร้างความวิบัติต่อภาษาไทย แต่ผู้กำกับก็ยืนยันใช้ “ชิมิ” ในหนังต่อไป
“ผมสอบถามไปยังราชบัณฑิต (ชัยอนันต์ สมุทวณิช) ว่ารู้จักคำว่า ชิมิ หรือไม่ ท่านตอบว่า ไม่รู้จัก ผมเลยบอกไปว่าคำนี้ เป็นคำที่ทันสมัยที่วัยรุ่นใช้กัน แปลว่า ใช่ไหม ผมเกรงว่าต่อไปภาษาไทยจะเสื่อมและวิบัติ ถ้าไม่มีการช่วยกันรักษา ดังนั้น อยากให้บอร์ดภาพยนตร์แห่งชาติช่วยกันดูแลภาษาในละคร หนังที่ปรากฏต่อสายตาประชาชน ไม่ให้ภาษาเสื่อมและต้องรู้ว่าอะไรควรใช้หรือไม่ควรใช้” รองนายกฯ แจง
ขณะที่ผู้กำกับหนังเจ้าปัญหาก็ออกมาแจงถึงเจตนารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังให้ทัศนะส่วนตัวว่า คำดังกล่าวไม่น่าจะสร้างวิกฤตทางภาษาอย่างแน่นอน
“คำว่า ชิมิ เราเอามาจากเพลง ซึ่งเพลงนี้มีมาเป็นปีแล้ว เราก็ไม่รู้มันผ่านมาได้ยังไง ที่ร้องเห็นหมีหนูไหม...เห็นหมีหนูไหม ก็เห็นกันไปทั้งประเทศ เลยรู้สึกว่าทำไมไม่ไปดูตรงนั้น แต่ชิมิเป็นศัพท์ธรรมดา ชิมิก็คือ ใช่ไหม เป็นศัพท์ที่วัยรุ่นนิยมพูดกัน ก็ไม่น่าจะไปซีเรียสอะไรกับเขามาก เพราะแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ไป ถ้าไปใช้ในภาษาราชการคงไม่มีใครใช้คำว่าชิมิแน่ๆ เผอิญหนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกคลายเครียด ช่วงนี้น้ำท่วมกันเราก็อยากให้คนอ่านชื่อหนังเราแล้วอมยิ้ม แต่ท่านไตรรงค์คงเล็งเห็นว่า ไม่อยากให้ภาษาไทยวิบัติ เราก็เคารพในความคิดของท่าน แต่มันอยู่ที่เจตนาของเรา เจตนาของเราแค่ว่าเพื่อความบันเทิง และให้ผู้อ่านอมยิ้ม ให้หนังเข้ากับกลุ่มวัยรุ่นและเพศที่ 3 เพราะเวลาเพศที่ 3 พูดว่า หอแต๋วแตก แหกใช่ไหม มันก็จะเพี้ยนออกมาเป็น แหกชิมิ มันเป็นภาษาเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ภาษาราชการ คิดว่าคงไม่ได้ทำให้ภาษาวิบัติหรอก”
จากหนังไทยไปหนังต่างประเทศกันบ้าง Easy A จะเข้าฉายเดือนหน้า ชื่อออริจินัลไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พอมาเป็นชื่อไทยนี่สิ “อีนี่...แร๊งงงส์” สั้น กระชับ ได้ความหมาย เข้าใจง่าย อืม..แร้งส์!!! ไม่ต้องอธิบายซ้ำ
อรฉัตร ศุกระกาญจน์ หัวหน้าแผนกปฏิบัติการฝ่ายขายและจัดจำหน่าย โคลัมเบีย ไทรสตาร์ บัวนา วิสต้า เจ้าของไอเดียที่ตั้งชื่อหนัง “อีนี่...แร๊งงงส์” บอกเหตุผลถึงการใช้คำนี้ เพราะพ้องเสียงกับ Easy ในภาษาอังกฤษ หลังจากได้คำแรก “อีนี่” แล้ว ก็นั่งนึกต่อว่า จะอีนี่อะไรดี? ประกอบกับคำว่า “แรงส์” อินเทรนด์ เหมาะกับวัยรุ่น ที่สำคัญ ตัวหนังนางเอกก็แรงจริงๆ จึงได้ข้อสรุปที่ “อีนี่...แร๊งงงส์”
“มันเหมือนจะง่าย แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ง่ายค่ะ เพราะคนที่เห็นชื่อโดยไม่ดูตัวอย่างจะนึกว่าเป็นเรื่องของนักเรียนแย่งกันสอบ ทำเกรดดีๆ ซึ่งจะทำให้ความน่าดูของหนังลดลง พอตัวเองได้ดูหนังครั้งแรก ถึงได้เข้าใจว่าเป็นเรื่องของสาวมัธยมที่เอาตัวอักษร A ใน Scarlet Letter มาล้อตัวเอง เพราะเพื่อนหาว่าเธอมั่วคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ก็ปิ๊งคำนี้ขึ้นมาทันที ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันค่ะว่าจะแรงไป แต่พอเสนอทีมการตลาด และถามน้องอีกคนที่เป็นคนคิดโปรยตัวอย่างหนัง เขารับได้ ก็เลยเอาไงเอากัน แต่ถ้าดูหนังแล้วจะพบว่าชื่อนี่ตรงเลยค่ะ เพราะบรรดาเด็กในโรงเรียนจะด่านางเอกว่า อีนี่มันแรงจริงๆ แต่แรงแบบน่ารักนะ”
แม้จะผ่านเซ็นเซอร์ฉลุยโดยมีไม่ปฏิกิริยาคัดค้านใดๆ แต่ในแง่ของภาษา “อีนี่...แร๊งงงส์” ผิดหลักไวยากรณ์ไทยไหม ผิดแบบเต็มๆ ซึ่งอรฉัตรก็เห็นด้วยกับข้อนี้ แต่กระนั้นมันก็กระแทกอารมณ์คนฟังและคอหนังอย่างแร้งส์ มีส่วนช่วยให้คนสนใจ และจำหนังเรื่องนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
“หลักสำคัญที่ตัวเองใช้สำหรับการตั้งชื่อหนัง คือชื่อต้องฟังแล้วสะดุดหู เหมาะกับแนวของหนัง ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามจะให้มีความเชื่อมโยงกับชื่อภาษาอังกฤษ หรือมีสัมผัสที่มีความเชื่อมต่อกับชื่อต้นฉบับภาษาอังกฤษ”
ย้อนไปไกลหลายปีนั้นก็เคยมีหนังชื่อแรงปรากฏให้เห็นเป็นระยะ และจะเป็นหนังฝรั่งเสียส่วนใหญ่ บางเรื่องฮือฮาอยู่ไม่น้อย Shoot 'Em Up “ยิงแม่งเลย” บางเรื่องให้คิดได้สองแง่สามง่าม “กลีบเขมือบ” “ผีกระชากหัว” แต่ก็ผ่านเซ็นเซอร์อย่างไร้กังวล
ขณะที่ Shoot 'Em Up “ยิงแม่งเลย” ถือเป็นกรณีน่าศึกษาทีเดียว เพราะแรกๆ นั้น ชื่อหนังโดนติงจากกองเซ็นเซอร์ว่าใช้ภาษาแรงเกิน จนสุดท้ายก็ไม่ผ่านเซ็นเซอร์ ทำให้เจ้าของหนัง (ค่ายสหมงคลฟิล์ม) ต้องแก้ลำด้วยการใช้กากบาทสีแดงที่คำว่า “แม่ง” คล้ายจะเป็นการเซ็นเซอร์ตัวเองไปในตัว
*****************************
เมื่อมีหนังชื่อแรงแล้ว เราก็ขอหยุดความแรงส์!!! ด้วยการส่งหนังชื่อละมุนหู เข้าประชันขันแข่งซะหน่อย อะ...ว่าแต่จะมีเรื่องไหน ชนะใจ ไปฟัง (ไปดู) กันเลยจ้า
Dear John “รักจากใจจร” เป็นไง เพราะใช่ป่ะ?
ยังเพราะไม่พอ ก็ต้องนี่ Eat Pray Love “อิ่ม มนต์ รัก” เรื่องนี้เราให้เต็ม 10 เพราะสื่อถึงเนื้อหาหนังได้อย่างหมดจด
Frozen “นรกแขวนฟ้า” กับ Inception “จิตพิฆาตโลก” ก็โอเคนะ ใช้คำดีทีเดียว อ่านปุ๊บ รู้ปั๊บ
นี่ก็ไม่เลว The Back Up Plan “พบชายงามยามตุ๊บป่อง” The Housemaid “แรงปรารถนา อย่าห้าม”
Let Me In “แวมไพร์ ร้ายเดียงสา” Let Me In เรื่องนี้เราก็ให้ชนะ
หนังไทยละมีไหม?
เราพยายามตามหาจนตาเจ็บ สุดท้ายยังหาไม่พบ (จริงๆ นะ) “กวน มึน โฮ” “ตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ” อึ๋ย...ไม่ใช่ “น้ำตาลแดง” งี้ ที่ถือว่าเข้าตามากสุดคือ “เการักที่เกาหลี” นอกนั้นไม่ผ่าน ก็ได้แต่หวังว่าอนาคตน่าจะมีหนังไทยชื่องามๆ บ้างเน้อ เยอะยิ่งดี


