น้ำลี...ที่ลับแล
หากเอ่ยชื่อ “บ้านน้ำลี” หลายๆ คนอาจจะคุ้นหูกับชื่อๆ นี้ เพราะที่นี่เคยเป็นข่าวหน้า 1 ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2549
หากเอ่ยชื่อ “บ้านน้ำลี” หลายๆ คนอาจจะคุ้นหูกับชื่อๆ นี้ เพราะที่นี่เคยเป็นข่าวหน้า 1 ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2549
โดย...กิจจา อภิชนรจเรข
หากเอ่ยชื่อ “บ้านน้ำลี” หลายๆ คนอาจจะคุ้นหูกับชื่อๆ นี้ เพราะที่นี่เคยเป็นข่าวหน้า 1 ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2549
ภัยพิบัติครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านที่อาศัยในชุมชนแห่งนี้อย่างมหาศาล ทำให้บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมน้ำกว่า 30 หลัง ต้องพังทลายหายไปกับสายน้ำ และชาวบ้านกว่าอีก 30 ชีวิตที่สูญหายไปกับเหตุการณ์ดังกล่าว จนยากจะลืมเลือน
ภาพโคลนที่ไหลมาถล่มบ้านของชาวน้ำลียังคงติดตรึงในความทรงจำของคนที่นี่ ไม่มีใครที่จะลืมเหตุการณ์ในครั้ง แม้ว่าจะผ่านมากว่า 4 ปีแล้วก็ตาม
แต่นั้นอาจจะเป็นภาพในอดีตของนักเดินทางที่แวะมาท่องเที่ยวยังโฮมสเตย์แห่งนี้ครับ
ปัจจุบันบ้านน้ำลีแห่งนี้ถูกเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูอาชีพและสร้างรายได้ในแก่คนในหมู่บ้านแห่งนี้ครับ โดยเปิดเป็นโฮมสเตย์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้แวะมาสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
ผมได้มีโอกาสเดินทางมาสู่บ้านน้ำลีกับคณะของ ททท. โดยเดินทางมาจากอุตรดิตถ์เข้าสู่บ้านน้ำลี เส้นทางผ่าน อ.เมือง–ท่าปลา–บ้านน้ำลี ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ประมาณ 1 ชั่วโมง
ทันทีที่เดินทางมาถึง เราก็จะได้พบกับสายน้ำที่กว้างใหญ่ตั้งอยู่หน้าขุนเขา หรือที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่า “ห้วยลีใหญ่” โดยชาวบ้านบอกว่าเมื่อก่อนห้วยน้ำนี้ไม่กว้างอย่างปัจจุบัน แต่หลังจากประสบภัยพิบัติดังกล่าว ก็กลับกลายเป็นห้วยน้ำใหญ่จนถึงทุกวันนี้
นอกจากสายน้ำที่ใสเย็นแล้ว เรายังได้เห็นภาพเด็กๆ กระโดดน้ำอยู่ในห้วยลีใหญ่แห่งนี้ ทำให้หลายๆ คนในคณะเดินของพวกเราอดใจไม่ได้ที่จะเดินไปหย่อนเท้าแช่น้ำในลำห้วยแห่งนี้บ้าง
หลังจากชมห้วยน้ำสายสำคัญของบ้านน้ำลีแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะเดินทางไปยังโฮมสเตย์เพื่อพักผ่อนเสียทีครับ ซึ่งก็เป็นบ้านของชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
บ้านไม้ยกสูงสองชั้นเป็นที่หมายที่เราจะพักพิงกันในคืนนี้ โดยที่พวกเราพักกันที่ชั้นของบ้านหลังนี้ ซึ่งก็เป็นห้องโถงที่เรียบง่ายครับ
หลังจากพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว ก็ได้เวลาอาหารค่ำ ซึ่งก็รวมอยู่ในแพ็กเกจของที่นี่นะครับ อาหารค่ำถึงแม้จะเป็นอาหารพื้นถิ่นของที่นี่ อาทิ ส้มตำ ยำกล้วยแค้ ฯลฯ และข้าวเหนียวร้อนๆ แต่หากใครชอบข้าวสวยก็มีนะครับ แอบกระซิบหน่อยนะครับ ฝีมือทำอาหารของชาวบ้านที่นี่ หากใครมาลองแล้วจะติดใจนะครับ
เช้าวันใหม่ พวกเราต้องเตรียมเดินทางเพื่อมุ่งสู่น้ำตกห้วยตาดยาว ทันทีที่ตื่นเช้า พี่ไม้เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับเราด้วยข้าวต้มหมูร้อนๆ กาแฟ และคุกกี้ครับ หลังจากอิ่มหน่ำสำราญแล้ว พี่ไม้ก็จัดเตรียมรถอีหอบ ไม่ผิดหรอกครับ รถอีหอบ หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าคืออะไร จริงๆ แล้วก็คือรถไถที่เอามาดัดแปลงต่อเติมข้างหลังให้เป็นที่นั่ง โดยคันหนึ่งก็นั่งได้ประมาณ 46 คนนะครับ
จุดหมายที่เราจะเดินทางไปครั้งนี้คือ น้ำตกห้วยตาดยาว โดยเส้นทางที่เราจะเดินทางในครั้งนี้จะต้องผ่านห้วยลีน้อยเป็นระยะ ซึ่งเส้นทางก็ทุลักทุเล แต่ก็สร้างความสนุกสนานไม่น้อยให้กับคณะเดินทางของเราครับ โดยที่สองข้างทางเราจะได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงาม และสายน้ำที่เย็นของลำน้ำลีนะครับ
เกือบ 1 ชั่วโมงของการเดินทาง ผมได้สัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพรรณไม้ริมทาง และสายน้ำที่เย็นของห้วยลีน้อย แม้จะเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก ดูทุลักทะเลไปบ้าง แต่ก็สร้างสีสันและเสียงหัวเราะได้ไม่น้อยให้กับพวกเรา
หลังจากที่เดินทางมาไกล เราก็ถึงจุดหมายน้ำตกห้วยตาดยาวเสียทีครับ ไม่ผิดหวังเลยครับที่ต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้ เพราะภาพความสวยงามของน้ำตกที่ใสเย็นที่ไหลอย่างต่อเนื่อง จนอดไม่ได้ที่จะไปแช่น้ำพร้อมเก็บภาพประทับใจ
ป๊อกๆ เสียงครกที่ดังอย่างต่อเนื่องของชาวบ้านที่ตำส้มตำเพื่อเป็นอาหารกลางวันให้กับคณะเดินทาง การได้ลิ้มรสชาติอาหารกลางสายน้ำของห้วยลีน้อย และชมน้ำตกห้วยตาดยาว สร้างความประทับใจไม่น้อยให้กับใครหลายๆ คนในคณะเดินทาง
อิ่มหนำสำราญแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับครับ ใช้เวลาประมาณอีกเกือบ 1 ชั่วโมง ก็ถึงหมู่บ้านน้ำลีครับ ตลอดเส้นทางที่ได้เที่ยวชมธรรมชาติ ผมก็ได้สัมผัสถึงธรรมชาติและแมลงต่างๆ ที่อยู่ริมทาง รู้สึกเหมือนเป็นการชาร์จพลังเพื่อเตรียมกลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะได้เดินทางมาสัมผัสธรรมชาติที่งดงามและบริสุทธิ์เช่นนี้ และผมก็อยากให้ใครอีกหลายๆ คนได้มีโอกาสมาสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ครับ แต่เราควรจะมาสัมผัสอย่างรู้คุณค่า ชื่นชมอย่างรักษานะครับ เพราะนี่ไม่ใช่สมบัติของใครเพียงหนึ่งเดียว แต่มันคือสมบัติของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องเก็บรักษาความสมบูรณ์ งดงามของธรรมชาติเหล่านี้ไว้ตลอดกาลครับ และผมคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นโฮมสเตย์ในฝันของนักเดินทางอีกหลายๆ คนก็ได้ครับ
และหากใครสนใจที่จะมาท่องเที่ยวแบบนี้ ก็สามารถติดต่อ หมอกฤษณะ (อนามัยบ้านน้ำลี) โทรศัพท์ 0878427349 หรือ email:[email protected] แต่ผมลืมบอกไปอย่างนะครับ ที่นี่จะไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์นะครับ ควรติดต่อทางอีเมลจะสะดวกกว่านะครับ และที่สำคัญ ที่นี่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูหนาวประมาณเดือน ต.ค.–ก.พ.เท่านั้นนะครับ หากใครที่สนใจก็สามารถติดต่อได้เลยครับ


