Social Enterprise
....วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การแก้ปัญหาทางสังคมเพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน ล้วนแต่ต้องอาศัยการสนับสนุนและร่วมมือจากทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม
ทุกวันนี้ปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นภาระหนักซึ่งเกินกว่าที่ภาครัฐจะแก้ปัญหาได้เพียงลำพัง
เมื่อสังคมมีความเจริญก้าวหน้าและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ปัญหาต่างๆ ก็เกิดมากขึ้นเป็นทวีคูณ ปัญหาเหล่านี้จะมีความหลากหลายและมีความรุนแรงมากขึ้น จนยากที่หน่วยงานภาครัฐจะสามารถรับมือได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงได้เกิดองค์กรหรือหน่วยงานที่เรียกกันว่า
“องค์การสาธารณประโยชน์” ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สังคมอย่างแท้จริง“Social Enterprise”
หรือ “วิสาหกิจเพื่อสังคม” หรือ “กิจการเพื่อสังคม” จึงเป็นแนวความคิดใหม่ของการประกอบกิจการหรือการดำเนินการเพื่อสังคมที่เกิดจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และบางประเทศในเอเชียแนวความคิดสำคัญของ
“วิสาหกิจเพื่อสังคม” คือการเป็นองค์กรที่มุ่งสร้างประโยชน์เพื่อสังคมเป็นหลัก คล้ายคลึงกับเป้าหมายขององค์กรพัฒนาเอกชน แต่มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพแบบภาคธุรกิจ ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากการประกอบกิจการเพื่อให้กิจการสามารถดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนด้วยตนเองแนวความคิดนี้กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นกลไกแบบใหม่ของสังคมที่เข้ามาช่วยงานด้านการพัฒนาของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงกล่าวได้ว่า วิสาหกิจเพื่อสังคมก็คือ
“ธุรกิจสายพันธุ์ใหม่” ที่กำลังก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาแบบเดิมๆ และจะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสังคมของประเทศไทยต่อไปวิสาหกิจเพื่อสังคม นอกจากจะเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาโอกาสทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหลักแล้ว ยังเป็นองค์กรที่มีการสร้างรายได้ และนำรายได้เหล่านั้นกลับไปลงทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมตามเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้
ตัวอย่างของวิสาหกิจเพื่อสังคมในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศบังกลาเทศที่มีธนาคารกรามีนแบงก์ ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้สินเชื่อระดับชุมชนและคนที่ด้อยโอกาสเป็นหลัก หรือแม้แต่ในประเทศอินเดีย จะมีเครือข่าย ดำเนินธุรกิจที่จัดจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากชุมชนที่ห่างไกลในชนบทของอินเดีย โดยใช้ระบบขายส่งไปยังเครือข่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป เป็นต้น
ส่วนของไทยเราก็มีบริษัท ไทยคราฟท์ แฟร์เทรด ซึ่งตั้งขึ้นมาจำหน่ายสินค้าหรือหัตถกรรมของชุมชนทั่วประเทศ โดยจะเน้นเรื่องของการรักษาวัฒนธรรม การพัฒนาความสามารถในการผลิตและการพึ่งตนเอง หรือการก่อตั้งบริษัท
“ร่วมทุนชนบท” จำกัด เป็นการร่วมลงทุนวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพวิสาหกิจเพื่อสังคมในหลายประเทศประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดังตัวอย่างในประเทศอังกฤษ มีวิสาหกิจเพื่อสังคมมากกว่า 6 หมื่นแห่ง ครอบคลุมกิจการทั้งด้านสุขภาพ พลังงาน การศึกษา สิ่งแวดล้อม สวัสดิการสังคม เป็นต้น มีมูลค่าการประกอบการรวมมากกว่า 1.4 ล้านล้านบาท รัฐบาลประเทศอังกฤษจึงได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากถึงกับจัดตั้งหน่วยงาน Office of The Third Sector ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศอังกฤษอย่างเป็นระบบ
ส่วนประเทศไทยของเรานั้น การดำเนินธุรกิจในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก เพราะยังขาดการสนับสนุนในหลายด้าน ทั้งด้านทรัพยากร การบริหารจัดการ และงบประมาณ
ความสำเร็จก้าวหน้าของ
“วิสาหกิจเพื่อสังคม” ของบ้านเราในวันนี้ จึงอยู่ที่ความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างแท้จริง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่อาการหนักมากขึ้นทุกวัน ครับผม !

