ธรณีธรรมสั่นไหว หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ละสังขาร
ระหว่างช่วงน้ำท่วมหนักเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธรณีธรรมก็สั่นไหว เพราะ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท พระอริยะแห่งวัดป่าดงหวาย ละขันธ์....
ระหว่างช่วงน้ำท่วมหนักเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธรณีธรรมก็สั่นไหว เพราะ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท พระอริยะแห่งวัดป่าดงหวาย ละขันธ์....
โดย....ภัทระ คำพิทักษ์
ระหว่างช่วงน้ำท่วมหนักเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธรณีธรรมก็สั่นไหว เพราะ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท พระอริยะแห่งวัดป่าดงหวาย ละขันธ์
หลังหลวงปู่แฟ๊บได้ร่วมพิธีรับกฐินเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ท่านมีอาการอ่อนเพลียอย่างหนัก เมื่อศิษย์นำส่งโรงพยาบาลสกลนคร กระทั่งเวลา 21.40 น. วันที่ 1 พ.ย. ท่านจึงได้ละขันธ์
เป็นการแสดงธรรมให้ประจักษ์เป็นครั้งสุดท้าย
เพื่อให้เรื่องราวของท่านได้เป็นอุทาหรณ์แก่พุทธศาสนิกชนทั้งปวง เพื่อเผยแผ่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณและเพื่อบูชาคุณพระสงฆ์ผู้เป็นพระ
สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
ญายปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีถูกแล้ว
สามีจิปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
จึงขอนำประวัติของหลวงปู่ที่เคยนำเสนอมาแล้วหนหนึ่งมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้งหนึ่งดังนี้
หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท
อาทิตย์อุทัย เมื่อยามสนธยา
ผู้บวชเมื่อแก่แล้วเอาดีได้นั้นมีไม่มาก นอกจาก หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ และหลวงปู่บัว สิริปุณโณ หลวงปู่เปลื้อง ปัญญาวันโต แล้วอีกรูปหนึ่งที่ย่ำอยู่ในครรลองนี้คือ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท แห่งวัดป่าดงหวาย
เรื่องราวของหลวงปู่แฟ๊บนั้นด้านหนึ่งมีความละม้ายกับเรื่องราวของ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร อยู่ไม่น้อย นั่นคือเป็นผู้ได้บำเพ็ญมาก่อนจนเป็นเสมือนดอกบัวที่ตูมเต็มที่แล้วเมื่อได้ที่บัวดอกนั้นก็คลี่บานออก
หลวงปู่แฟ๊บมีนามเดิมและสกุลวงศ์เดิมว่า นายญาติ กุลวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ปี พ.ศ. 2465 เป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 7 คน ของสกุลชาวนาบ้านคำชะอี ต.คำชะอี จ.นครพนม ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ จ.มุกดาหาร
แม้ในวัยหนุ่มจะมีโอกาสได้พบและทำการต่างๆ ถวายหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สองบุรพาจารย์พระกรรมฐานร่วมสมัย ซึ่งเดินทางผ่านก็ช่วยปลูกศรัทธาให้เกิดขึ้นได้ แต่กว่า “นายญาติ” จะตัดตรงเข้าสู่แดนเกษมก็ตีโค้งไปใช้ชีวิตทางโลกอยู่กว่าครึ่งค่อนชีวิต
ในวัย 20 ปี “นายญาติ” ได้บวชเรียนเหมือนคนหนุ่มทั่วไป หลัง 2 พรรษาในร่มผ้าเหลือง ท่านลาสิกขามาค้าผ้าไหม มีเงินมีทองพอสมควรแล้วจึงแต่งงานในวัย 23 ปี พร้อมกับย้ายไปทำนาที่บ้านบุ่งนางเลิศ จ.ร้อยเอ็ด
ท่านมีลูกทั้งหญิงและชายมากถึง 12 คน แต่กระนั้นท่านก็ยังมิได้ห่างไกลจากวัด เพราะนอกจากเป็นมัคนายกของหมู่บ้านแล้ว ยังเป็นหัวหน้าช่างดูแลการออกแบบก่อสร้างถาวรต่างๆ ในวัดด้วย
“นายญาติ” จับสัญญาณแห่งอนาคตซึ่งแง้มตัวออกมาให้เห็นล่วงหน้าแวบๆ ได้เมื่อภรรยาตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง คืนหนึ่งในช่วงที่ภรรยาตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนท่านฝันไปว่า ระหว่างเดินกลับบ้านหลังทำนาเสร็จ จู่ๆ ก็มีน้ำไหลท่วมขึ้นมาทุกทิศทั่วทาง แลไปทางไหนก็มีแต่น้ำสุดลูกหูลูกตา แต่ก็มีเนินดินที่น้ำท่วมไม่ถึงพอจะขึ้นไปอยู่ได้ พอขึ้นไปบนเนินระหว่างตรึกหาทางกลับบ้านอยู่นั้นแลเห็นมีดพร้าเก่าของตัวเองลอยมา พอเก็บไปล้างน้ำ มีดพร้ากลายเป็นเรือทองคำ เมื่อลงไปนั่ง เรือก็แล่นฝ่าออกไป ข้ามไปได้ทั้งผืนน้ำ ท้องถนน ฯลฯ พอถึงบันไดบ้านก็ตื่นพอดี
เมื่อพิจารณาความฝันแล้ว ก็มีข้อสรุปเงียบๆ กับตัวเองว่า “ลูกคนนี้คงจะเป็นผู้พาให้เราได้พ้นจากกองทุกข์เป็นแน่”
“นายญาติ” หาอยู่หากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าด้วยการทำนามาจนย่างเข้าสู่ปากทางแห่งวัยชรา เรือทองคำจึงมาถึง
วันนั้น “นายญาติ” จูงควายออกไปทำนา เผอิญควายตัวหนึ่งหยุดถ่ายมูล อีกตัวดันไม่หยุด มันเลยดึงเจ้าของเซล้มพังพาบไปนอนเค้งเก้อยู่กับพื้น เพื่อนบ้านเห็นเข้าเลยพูดว่า “เฒ่าแล้ว จะทำไปทำไมนักหนา ไปทำบุญเข้าวัดเข้าวาได้แล้ว”
เจ้าตัวฟังแล้วสลดใจยิ่งนัก นับแต่บัดนั้นมาทุกวันพระ นายญาติก็ไปทำบุญรักษาศีลอยู่ที่วัดและเริ่มหัดภาวนาด้วยตัวเอง
เรือทองคำเข้าเทียบท่าเมื่อ พ.ศ. 2524 ปีนั้นท่านอายุ 59 ปี เป็นปีที่ภรรยามาสิ้นชีวิตเพราะวัณโรค และบุตรคนที่สองผู้อยู่ในผ้าเหลือง นาม “พระอาจารย์ทองมาย” ได้นำพ่อเดินทางไปหาพระอาจารย์ประสิทธิ์ บุญญมากโร ที่บ้านวังผา ต.สันมะค่า อ.ป่าแดด จ.เชียงราย เพื่อให้พ่อได้มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะจะได้ปฏิบัติภาวนาได้อย่างเต็มที่
น่าเสียดายว่าพระอาจารย์ประสิทธิ์ไม่อยู่เพราะปีนั้นท่านย้ายไปจำพรรษาที่ จ.พะเยา แต่ก็ไม่เสียท่าเพราะพระลูกชายและพระอาจารย์คำแพง อัตตสันโต ได้เป็นผู้แนะนำให้เอง
เดือนแรกเป็นการจงกรมภาวนาตลอดคืน พักผ่อนในยามกลางวัน
เดือนที่สองนั่งภาวนาตลอดคืนไม่ต้องลุก ขยับหรือพลิกตัว คืนแรกขยับตัวเท่าไหร่ให้นับไว้ วันถัดไปขยับให้น้อยลงไปเรื่อยและต้องไม่ขยับตัวเลยในช่วง 20 วันสุดท้ายของเดือน
เดือนที่สามพอนั่งภาวนาได้ตลอดคืนแล้ว ท่านก็ตั้งสัจจะว่า “ใน 7 คืนของการนั่งภาวนานี้ ถ้าข้าพเจ้าขยับขอให้รุกขเทวดา พระภูมิเจ้าที่พระแม่ธรณี จงถอนลมหายใจของข้าพเจ้า ให้ตายไปในเวลานั้นทันทียกเว้นแต่มีการปวดถ่ายต่างๆ”
เพียงคืนแรกของ 7 วันที่ตั้งสัจอธิษฐานนั่นเอง นั่งไปได้เพียง 2-3 ชั่วโมง เวทนาก็รุมเร้าเข้ามาผิดกับครั้งก่อนๆ ที่ฝึกมาเท่าไหร่ก็ผ่านมาได้โดยไม่มีอุปสรรค
จากปกติที่จะปวดถ่ายบ้างสักครั้งสองครั้งคืนนั้นเจ็บปวดจนตัวสั่นน้ำมูกน้ำตาท่วมหูท่วมตาไปหมดแต่ก็ทนเอา ทนอยู่ถึง 5 คืน พอคืนที่ 6 อาการเหล่านั้นจึงปลาสไป เหลือแต่ความมึนชาตามร่างกาย แล้วมีอาการประหลาดเกิดขึ้นแทนที่ นั่นคือมีลมดันขึ้นมาจากขาและมือทั้งสองข้าง เหมือนน้ำไหลมาตามสายยางมันไหลย้อนเข้ามาเรื่อยๆ จนรวมจุกอยู่ที่หน้าอก
ท่านเล่าว่า ขณะนั้นบอกกับตัวเองว่าตายแน่ๆ แต่พอคุมสติรู้ว่าลมนั้นเลื่อนมาจุกอยู่ที่คอหอยเวทนาทั้งหมดก็สิ้นไป เหลือแต่ความว่าง พอว่างหมด ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ดูร่างกายก็ไม่ เห็นแต่ผ้าปูนั่งเหลือแต่ผู้รู้อยู่อย่างเดียว
ขณะนึกว่าตัวเองตายไปแล้วนั้นก็ปรากฏพระภิกษุ 3 รูปขึ้นมาต่อหน้า ประกอบด้วย ท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์ พระอาจารย์คำแพง และพระอาจารย์ทองมาย จึงก้มกราบพระภิกษุทั้ง 3 รูปพร้อมรู้ขึ้นมาว่า “นี่ครูบาอาจารย์คอยดูเราอยู่ตลอด” กราบเสร็จ จิตก็ถอนออกจากสมาธิ เมื่อมาพิจารณาทบทวนดูจิตก็เข้าสู่สมาธิอีกหน งวดนี้อยู่ในสมาธิถึงเวลา 09.00 น. จึงถอนออก
จากนั้นมาจิตก็สงบเป็นสมาธิเรื่อยๆ
ท่านว่าช่วงนั้นเข้าสมาธิแล้วเกิดนิมิต ครั้งหนึ่งเห็นดวงแก้วขนาดใหญ่ราวล้อเกวียนมา|ลอยวนอยู่รอบตัวถึง 3 รอบ แล้วมาลอยอยู่เบื้องหน้า อาจารย์คำแพงแนะให้แต่งขันธ์ 5 อัญเชิญดวงแก้ว พอทำแล้วดวงแก้วนี้ก็ปรากฏขึ้นมาอีก แต่หนนี้ย่อขนาดลงมาเล็กราวปลายนิ้วก้อยลอยมาอยู่ที่มือ เมื่อเชิญให้เข้าไปอยู่ในตัวก็มีเสียงว่า “ยังไม่เข้าหรอกเพราะยังไม่มีมรรค 8 ถ้ามีมรรค 8 เมื่อไหร่แล้วจะมา”
ภาวนาจนออกพรรษาแล้วก็กลับบ้าน ต่อมาได้แวะไปกราบ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต และขอภาวนาอยู่ที่วัดบรรพตคีรี หรือวัดภูจ้อก้อ 3 วัน หลวงปู่หล้าได้สั่งเณรให้จัดที่นั่งฉันอาหารต่อจากแถวเณร ครั้นขอไปฉันที่โรงครัว หลวงปู่หล้ากลับพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ นี่ไม่ใช่โยมนะ นี่มันดีกว่าเณรอีกนะเนี่ย”
ท่านหันมาบอกกับญาติโยมที่มาทำบุญว่า “พวกเจ้ามัวแต่เฝ้าต้นเฝ้าลำ อยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร แต่คนที่จะเอาไปกินนี่...ผู้นี้” แล้วชี้มาที่ผู้เฒ่าคนนี้
ผู้เฒ่านักภาวนาได้อุปสมบทเป็นภิกษุฝ่ายธรรมยุต เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2524 ที่วัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ได้ฉายาว่า สุภัทโท แล้วได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และออกภาวนาไปตามที่ต่างๆ
คืนหนึ่งในต้นพรรษาที่ 3 ขณะภาวนาอยู่ที่วัดศรีอุดม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นั่นเอง ท่านก็ฝันว่า เห็นหลวงปู่มั่นมาดึงแขนให้เดินตามไปโดยมีหลวงปู่เสาร์เดินนำหน้าอยู่พลางว่า “ไปทางนี้” เมื่อกราบเรียนท่านว่า “ข้าน้อยจะตามไปอยู่ ท่านอาจารย์วางแขนข้าน้อยเถอะ” หลวงปู่มั่นก็ไม่ปล่อยหากแต่กล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลับคืน”
ท่านว่าพรรษานั้นเกิดนิมิตมากมายจนสับสน แก้ไม่ตก เลยนึกขึ้นว่าจะไปขอปรึกษาหลวงปู่เทสก์ นึกขึ้นมาอย่างนั้นสัก 3 วัน แต่ไม่ทันจะออกเดินทาง หลวงปู่เทสก์ก็ส่งสมุดมาให้เล่มหนึ่ง ในสมุดนั้นมีจดหมายน้อยแทรกมาด้วยฉบับหนึ่ง
น่าอัศจรรย์นักเพราะหลวงปู่เทสก์ท่านเขียนมาว่า “ไม่ต้องมาหรอก อาจารย์ดูอยู่ทุกคืน ส่วนที่เห็นในนิมิตต่างๆ นั้น อาจารย์ได้แก้ไขไว้ให้เป็นข้อๆ ไป ให้ดูในสมุดเล่มที่แทรกมาด้วยกัน”
เมื่อเปิดสมุดดูก็พบคำตอบที่ต้องการ
อาทิ “ให้ดูนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เป็นอุเบกขา คือการวางเฉย อย่าไปยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นธรรมดาของโลกเมื่อเห็นแล้วให้ใช้ปัญญาพิจารณาเป็นธรรมะ เมื่อเบื่อแล้วให้วางทิ้งไปแล้วจะไม่มาปรากฏให้เห็นอีก”
พอปฏิบัติตามก็เป็นเช่นที่หลวงปู่เทสก์แนะนำจริงๆ!
หลังออกพรรษาปีนั้นการภาวนาก็รุดหน้าอย่างมาก ขณะไปภาวนาที่ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ก็เกิดอสุภกรรมฐานขึ้นถึง 3 หน หนแรกเห็นไฟลุกไหม้ตัวเอง กะโหลกศีรษะแตก มันสมองไหลตกลงสู่พื้น ไฟกำลังไหม้หมดตัวจิตก็ถอนออกจากสมาธิ ครั้งที่สองเห็นตนเองนอนขึ้นอืดแล้วร่างกายค่อยๆ พองขึ้น ผิวหนังปริแตก เลือดเนื้อหลุดไหลออกมาเหลือแต่กระดูก มีมดปลวกมารุมกินจนเหลือเป็นกองดินเล็กๆ เท่ากำมือ
คืนที่สามนิมิตเห็นคนมารุมทุบตีแล้วจับท่านหั่นเป็นท่อนๆ พอแสงส่องมาต้องร่างกายเนื้อหนังก็หลุดไหลออกเหลือแต่กระดูก จนเหลือกองขี้เถ้าเท่ากำมืออีกหน
ท่านจรไปตามที่ต่างๆ และภาวนาอย่างไม่ท้อถอย ผลจากการภาวนาทำให้กระจ่างชัด ถึงกับ “ไม่สงสัยถึงเหตุแห่งการเกิดในวัฏสงสารนี้แล้ว”
ความสิ้นสงสัยเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งภาวนาแล้วนิมิตเห็นลำตัวของตนเองใสเป็นกระจกแต่มีจุดอยู่ 2 จุด และมีแนวยาวคั่นระหว่างจุด 2 จุดยาวไปตามแนวของกระดูกสันหลัง แม้พยายามหาคำตอบว่า สิ่งที่เห็นนี้คืออะไรอยู่หลายเดือนก็ไม่ได้ความ กระทั่งวันหนึ่งมีหญิงตั้งครรภ์มาใส่บาตร พอกลับมาพิจารณาที่วัดจึงเห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่ในท่างอตัวหันหน้าไปทางกระดูกสันหลังของแม่ เวลาคลอดเด็กจะกลับหัวเอาศีรษะออกมาก่อน
นั่นทำให้เกิดรู้ขึ้นมาว่า “นี่เองทางแห่งการเกิดนี่เอง จุดบ่อเกิดทางเส้นนี้ จุด 2 จุดนี้เป็นเหตุแห่งการเกิด นี่ไม่สงสัยแล้วเหตุแห่งการเกิดในวัฏสงสารนี้”
ถึงพรรษาที่ 11 หลวงปู่เทสก์จึงสั่งให้หาวัดอยู่ประจำเพราะอายุมากแล้ว โดยระบุว่า “วัดป่าดงหวายนั่นแหละ เหมาะดีแล้ว” หลังหลวงปู่เทสก์สั่ง ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าดงหวาย ต.บ้านจาน อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร เรื่อยมากระทั่งทุกวันนี้
หลังเรียนรู้อย่างเจนจบมาแล้ว หลวงปู่แฟ๊บซึ่งทุกวันนี้อายุ 86 ปี พรรษา 26 สรุปบทเรียนสอนญาติโยมและนักปฏิบัติที่อยากพ้นวัฏฏะทั้งหลายว่า ธรรมะอยู่ที่ในจิตใจ พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกก็ค้นหาที่นี่ ไม่ได้หาที่อื่น จิตใจเป็นบ้านของกิเลส ตัณหา ถ้าอยากจะพ้นวัฏฏะต้องตัดตัวนี้ วิธีการคือ หาตัวที่มันพาเกิด พาตาย
ตัวพาเกิดก็คือ ความรัก ความใคร่ ความยินดี ความโกรธ ตัวพาตายก็คือ ธาตุ 4 ขันธ์ 5
ถ้าดับตัวพาเกิดได้มันก็ไม่มาเกิดอีก นักภาวนาต้องอย่าให้ความโกรธ ความโลภ ความหลง มาบังคับเราได้ เพราะมันจะเป็นเครื่องขัดขวางทางเข้ามรรคผล
มรรค 8 ต้องทำให้เสมอกัน ต้องทำให้เท่ากันทั้ง 8 ข้อ ให้แยกแผ่ออกมาดูว่า มันมีอะไร มาจากไหน
มันไม่ได้มาจากไหนหรอก มาจากอาการ 32 ของร่างกาย ถ้าเห็นเป็นทุกข์เสียแล้ว เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยงเสียแล้ว ทำใจให้เป็นอุเบกขาและให้ใช้สติปัญญา
ภาวนา มีสมาธิ จิตสงบแล้วต้องมีสติปัญญาควบคุม เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้คุม ออกจากสมาธิมาก็ยังรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ถ้าเอาสติปัญญาไปควบคุมก็เป็นวิปัสสนา ท่านเองพอเกิดนิมิตเห็นตัวเองตายไป 3-4 ครั้ง แรกๆ ก็นึกว่าเป็นอสุภะ แต่พิจารณาไป ขยับเข้าไปๆ มันไม่ใช่ เห็นตัวเองเปื่อยเน่าเหลือแต่กระดูก นั่นเป็นแค่กรรมฐานเท่านั้น ถ้าเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันทำให้เกิดทุกข์
ให้มันออกมาจากใจ นี่อสุภะ มันต้องออกมาจากใจ มันเป็นปัญญา
ธรรมะจะไม่เกิดถ้าไม่มีความเพียร เราจะชนะกิเลสที่เข้ามาครองจิตใจเราได้ก็ด้วยการเอาศีล สมาธิปัญญา ความเพียร ความอุตสาหะมาสู้กับมัน
นักปฏิบัติต้องให้ทาน ทานะปรมัตถธรรม ทานตัวเอง ตั้งสัจจะสู้กับมัน สัจจะปรมัตถธรรม นั่งภาวนา เราไม่ลุกเราไม่หนี ตายเป็นตาย
หลวงปู่แฟ๊บไม่ลุก ไม่หนี และพบแล้วว่าอะไรพาเกิดอะไรพาตาย
สำหรับเราเหล่านักขยับ ดูเหมือนว่าคำถามว่า ท่านพ้นวัฏฏะไปได้แล้วหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับเราต้องถามตัวเอง หาตัวเองให้พบว่า อะไรพาเราเกิด อะไรพาเราตายและจะพ้นไปได้อย่างไร?


