posttoday

ความกลัวที่นำมาซึ่งความหายนะ

07 พฤศจิกายน 2553

....คุณสลิล

สังคมไทยปัจจุบันนี้เป็นสังคมที่มีความกลัวหลายประเภทแฝงตัวอยู่ ความกลัวเหล่านั้นบางประเภทก็ทำให้เกิดผลดี แต่ความกลัวบางประเภทนำมาซึ่งความหายนะในระยะยาว ลองมาดูกันว่าความกลัวเหล่านั้นคืออะไร และเกิดโทษได้อย่างไร

ความกลัวที่เรียกได้ว่า เป็นความกลัวสามัญของสังคมเราปัจจุบันนี้ ก็คงพูดได้ว่าคือ กลัวจนจริงๆ แล้วนั่นก็คือ กลัวความลำบาก ความไม่สบายต่างๆ ที่มาพร้อมกับความจน คนส่วนใหญ่จึงพยายามทำการงานเพื่อหาเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัว ความจริงความกลัวจนนั้นเป็นปกติของปุถุชน เพราะไม่ทราบถึงเหตุแห่งความจนที่แท้จริง ซึ่งก็คือ ผลของกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้ทานหรือการไม่รักษาศีล โดยเฉพาะล่วงศีลข้อ 2 คือ การลักขโมย การเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ รวมไม่ถึงความคดโกงทรัพย์สินส่วนรวม การกระทำเหล่านี้เป็นต้น เป็นเหตุแห่งความจนแท้จริง

ส่วนเหตุแห่งความจนอีกประการหนึ่งก็คือ ความเกียจคร้านไม่ขวนขวายในปัจจุบัน ซึ่งข้อนี้หลายคนเข้าใจและพยายามทำ แต่หลายคนไม่รู้ขอบเขต คือ ไปพยายามไม่ใช่ในทางที่ถูกที่ควร พยายามไปจนถึงการเอาเปรียบผู้อื่น การคดโกง นั่นเป็นทางแห่งความหายนะ ด้วยเขาไม่ทราบหรือไม่เชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นแหละ เมื่อกรรมส่งผลจะทำให้เสื่อมจากทรัพย์ คือ ทำให้จนนั่นเอง

ดังนั้น หากสังคมของเรายึดถือหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งก็ตรงกับหลักเรื่อง ความสันโดษคือ พอใจในสิ่งที่พึงมีพึงได้ โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น ในทางพระพุทธศาสนา หากดำเนินชีวิตอย่างนี้ ก็ย่อมจะพ้นความจนได้ เพราะขยันทำงาน ฉลาดในการทำการงานโดยสุจริต แต่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่โลภมาก ไม่กลัวจนมากเกินพอดีจนไปฉ้อฉลผู้อื่น และหากรู้จักแบ่งปันทำบุญทำทานด้วย สังคมย่อมจะเจริญ ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า หากมีกลุ่มคนที่ขยัน ฉลาด แต่ไม่คดโกง ใครๆ ก็ย่อมอยากมาลงทุน อยากมาค้าขายด้วย

ที่สำคัญต้องเข้าใจว่า หลักความสันโดษและเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เขาไม่ได้ให้โง่ เขาให้ใช้ปัญญาในการทำกิจการงานและใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถ ส่วนที่ห้ามนั้น คือ ไม่ให้โลภจนไปเบียดเบียนคนอื่นต่างหาก

ความกลัวอีกประเภทหนึ่งที่นำมาสู่ความหายนะ และดูจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมไทยก็คือ กลัวการทำดีนอกจากเรื่องการทำการงานที่พูดไปแล้วข้างต้น ในสังคมของเราปัจจุบัน หลายๆ ครั้งท่านจะเห็นว่า หลายคนไม่กล้าทำในสิ่งที่เป็นความดี เพราะกลัวหมู่คณะจะหาว่าเชย เช่น บางคนไม่ดื่มเหล้า เมื่อเข้าสังคมไปในงานเลี้ยง ก็กลัวเพื่อนจะว่าบ้าง กลัวจะเสียงานบ้าง บางคนเพิ่งไปทำบุญเพิ่งสมาทานศีล 5 มา ก็ไม่กล้าบอกว่าตัวถือศีลจึงไม่ดื่ม บางคนต้องเลี่ยงไปโกหกว่า แพ้เหล้าบ้าง ว่าไม่สบายบ้าง ต้องขับรถบ้าง จะเห็นว่าการกระทำดีเช่นการรักษาศีลนั้น กลายเป็นสิ่งที่คนไม่กล้าพูดไม่กล้าเปิดเผย ขณะเดียวกันการกระทำชั่วกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยน่าอาย เช่น บางที่เขารับใต้โต๊ะ การที่เราจะรับบ้างดูเป็นเรื่องธรรมดา เป็นว่า ตามน้ำทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ควรละอาย เป็นบาป แต่แนวโน้มศีลธรรมที่เสื่อม จึงทำให้การทำดีดูเป็นเรื่องเชยเรื่องแปลก แต่การทำชั่วดูเป็นเรื่องธรรมดา และเข้าใจได้ อ้างเหตุผลได้ต่างๆ นานา ซึ่งความจริงแล้วการทำดีทำชั่วนั้น Absolute คือ ดีก็คือดี ชั่วก็คือชั่ว ไม่ขึ้นกับเหตุผลที่นำมาอ้าง

ตัวอย่างชัดๆ อย่างหนึ่งที่น่าตกใจและเห็นได้ชัดก็คือ การจะนำคำว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติใส่ไว้ในกฎหมายหลักของชาติ ซึ่งเป็นความดี เป็นเรื่องจริง และเป็นความไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่นแต่อย่างใด กลับกลายเป็นสิ่งที่หลายคนกลัว หลายคนอาจมองว่าเชย ไม่ทันสมัย ความกลัวที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้จะนำไปสู่ความหายนะในอนาคต โดยเฉพาะความหายนะทางศีลธรรม คุณธรรม

อย่างไรก็ตาม ยังมีความกลัวที่เป็นเรื่องดีนั้นก็คือ การกลัวการทำชั่ว กลัวผลของบาปกรรม ความกลัวประเภทนี้เป็นความกลัวที่สร้างสรรค์ ทางธรรมเรียกว่า หิริโอตตัปปะซึ่งหมายถึง ความละอายชั่วกลัวต่อบาป ทั้งเพราะละอายต่อตนเองและกลัวผู้อื่นจะติเตียนหากรู้เข้า ซึ่งไม่ว่าจะกลัวเพราะละอายใจตนหรือกลัวคนอื่นติเตียน ก็เป็นประโยชน์ทั้งคู่ เพราะทำให้ไม่กระทำความชั่ว หยุดเอาไว้ได้ ดังนั้นหากความกลัวประเภทหิริโอตตัปปะนี้เกิดขึ้นมากๆ ย่อมเป็นผลดีต่อสังคม

ดังนั้น ขอฝากไว้ว่า ก่อนที่ท่านจะกลัวอะไร พิจารณาเสียก่อนว่าเป็นความกลัวที่จะทำให้ท่านเป็นคนดีขึ้น หรือเป็นความกลัวที่จะนำไปสู่หายนะ จะได้เลือกปฏิบัติได้ถูกต้อง

ข่าวล่าสุด

สธ. ปั้นนโยบายขึ้นทะเบียนยา ATMPs ‘เร็วที่สุดในอาเซียน’ ดัน 'Medical Economy'