posttoday

สำรวจ ‘เส้นทางสายมะเขือเทศ’

28 กุมภาพันธ์ 2562

เส้นทางสายมะเขือเทศ (Tomato Belt) คือ ตัวแทนแห่งความมุ่งมั่น

เรื่อง พุสดี สิริวัชระเมตตา

เส้นทางสายมะเขือเทศ (Tomato Belt) คือ ตัวแทนแห่งความมุ่งมั่น ในการสานต่อแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงต้องการแก้ปัญหาความยากจนของราษฎร นำพาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกรในภาคอีสานอย่างยั่งยืน โดยมี “ดอยคำ” ธุรกิจเพื่อสังคมที่มุ่งส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมเกษตร สืบสานความอยู่ดี กินดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของชุมชนเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนไปบนเส้นทางแห่งความภาคภูมิใจนี้

เพื่อดื่มด่ำไปกับการเดินทางของมะเขือเทศจากไร่สู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพในมือผู้บริโภค “ดอยคำ” ได้จัดกิจกรรมตามรอยเรียนรู้ “เส้นทางสายมะเขือเทศดอยคำ” สู่การเป็น King of Tomato ที่สุดของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปคุณภาพสูงจากมะเขือเทศดอยคำตั้งแต่ต้นน้ำจรดปลายน้ำ ผ่านกิจกรรม “อยู่ดีมีแฮงละเบ๋อ มะเขือเทศจากความฮัก จากใจดอยคำ”

สำรวจ ‘เส้นทางสายมะเขือเทศ’

กำเนิดเส้นทางสายมะเขือเทศ

หากย้อนกลับไปศึกษาเส้นทางสายมะเขือเทศตั้งแต่อดีต ต้องเริ่มตั้งแต่ยุคก่อน ปี 2062 ซึ่งมะเขือเทศปลูกโดยชาวแอซเทค (Aztec) ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเม็กซิโก จากนั้นเมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม ในปี 2062 ชาวสเปนยึดครองเม็กซิโก และได้นำมะเขือเทศเข้าสู่ยุโรป ราวปี 2143 มะเขือเทศเริ่มกระจายไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส และอังกฤษ ก่อนที่ในปี 2143 มะเขือเทศจะเข้ามายังแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วยผ่านการค้าขายกับชาติตะวันตก

พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร พาย้อนวันวานไปสู่จุดเริ่มต้นของเส้นทางมะเขือเทศว่า ในปี 2523 ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรหมู่บ้านนางอย-โพนปลาโหล กิ่ง อ.เต่างอยจ.สกลนคร และได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของราษฎร จึงมีพระราชดำริเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ส่งเสริมให้มีรายได้ ที่สำคัญคือ หลังจากพัฒนาแล้ว ชาวบ้านยังสามารถรักษาสภาพความเป็นอยู่และพัฒนาต่อไปได้ด้วยตนเอง

จากน้ำพระหฤทัยอันเปี่ยมล้นนำมาซึ่งการพัฒนาแหล่งน้ำ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกมะเขือเทศเป็นพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้เสริม กระทั่งใน 2525 จึงได้มีการตั้งโรงงานหลวงสำเร็จรูปที่ 3 (เต่างอย) ซึ่งถือเป็นโรงงานหลวงแห่งแรกในลุ่มแม่น้ำโขง โดยเริ่มดำเนินการผลิตน้ำมะเขือเทศเข้มข้นเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดแรกของโรงงาน และพัฒนาอาชีพ และเสริมรายได้ของราษฎรในเขตภาคอีสานตอนบนให้ยั่งยืน โดยนำเอาแนวคิดมาจากการพัฒนาในพื้นที่ภาคเหนือ คือ โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) กับโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 (แม่จัน) มาเป็นต้นแบบ โดยมีภารกิจสำคัญในการช่วยรับซื้อผลผลิตจากพืชที่ส่งเสริมในราคาเป็นธรรม ก่อนจะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ดอยคำ”

พิพัฒพงศ์ เสริมว่า ในช่วงแรกเริ่มที่ยังไม่มี “ดอยคำ” เข้ามาให้ความรู้แนะนำส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกมะเขือเทศ เกษตรกรยังใช้วิธีปลูกมะเขือเทศแบบไม่ขึ้นค้าง ทำให้ผลิตผลต่อไร่ไม่สูง แถมยังเกิดการเสียหายจากการเน่าเสีย และการที่ผลตกกระทบสู่ดินจนช้ำ กระทั่งเมื่อ “ดอยคำ” เข้ามาให้ความรู้และส่งเสริมเกษตรกร ให้มีการปรับการปลูก “โดยการขึ้นค้าง” เพื่อให้ได้ผลิตผลมากขึ้น ในจำนวนพื้นที่ไร่เท่าเดิม จากเดิมที่พื้นที่เพาะปลูก 1 ไร่ มีผลผลิต 5 ตัน พอใช้การขึ้นค้าง ทำให้ในพื้นที่เพาะปลูกที่ 1 ไร่เท่าเดิม มีผลผลิต 15 ตัน นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้มีการใช้วิธีต่อยอดมะเขือเทศเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรง ทนต่อโรค ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ไม่ขึ้นค้าง ต้นทุนต่อไร่อยู่ที่ 4,000-5,000 บาท ได้ผลผลิต 4-5 ตัน/ไร่ เมื่อมาปลูกแบบขึ้นค้าง ต้นทุนต่อไร่อยู่ที่ 7,500 บาท แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 8-20 ตัน/ไร่

ไพวัน โคตรทุม เกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศมากว่า 30 ปี กล่าวว่า หลังเสร็จจากการทำนา จะมาปลูกมะเขือเทศปีละครั้ง โดยจะเริ่มปลูกประมาณช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. และจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือน ม.ค.-มี.ค. โดยจะเลือกใช้มะเขือเทศพันธุ์เพอร์เฟคโกลด์ 111 เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตมะเขือเทศสีแดงสวย ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่สำคัญรสชาติหวานอร่อย “ผมปลูกมะเขือเทศมาตั้งแต่วัยรุ่น จนตอนนี้จะ 50 ปีแล้ว ผมเริ่มปลูกมะเขือเทศจากการชักชวนของเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน ทุกวันนี้ผมแบ่งที่นาที่มี 16 ไร่ ออกมา 1 ไร่เพื่อปลูกมะเขือเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากดอยคำในการให้คำแนะนำในการเพาะปลูก และช่วยรับซื้อผลผลิต ซึ่งราคาในแต่ละปีไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด และผลผลิตที่ได้ในแต่ละปี ตั้งแต่เริ่มปลูกมามะเขือเทศก็ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ความเป็นอยู่ดีขึ้น เสร็จจากหน้านาก็ยังมีอาชีพ” ไพวัน บอกเล่าอย่างเป็นกันเอง

สำรวจ ‘เส้นทางสายมะเขือเทศ’

คาราวานมะเขือเทศ

หลังจากสร้างต้นน้ำที่แข็งแรง มาถึงบทบาทของโรงงานหลวงฯ ที่ 3 ในการทำหน้าที่เป็น “กลางน้ำ” รับซื้อผลผลิตส่วนใหญ่จากเกษตรกรในพื้นที่กิ่ง อ.เต่างอย กิ่ง อ.โคกศรีสุพรรณ อ.กุดบาก และ อ.เมือง จ.สกลนคร และได้ขยายตลาดการรับซื้อไปถึง จ.นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย นับตั้งแต่เริ่มต้น โรงงานหลวงฯ แห่งนี้ได้รับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรทั้งหมดเฉลี่ยอยู่ที่ 1-1.5 หมื่นตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าเงินคืนให้แก่เกษตรกรกว่า 100 ล้านบาท/ปี พร้อมกับช่วยสร้างอาชีพและก่อเกิดรายได้ให้แก่เกษตรกรทั้งหมด 1,012 ครัวเรือน

กระบวนการหลักๆ ในการรับซื้อผลิตผลจากเกษตรกร เริ่มตั้งแต่กระบวนการตรวจน้ำหนัก โดยเกษตรกรจะบรรทุกมะเขือเทศมาเป็นคันรถ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการชั่งน้ำหนัก พร้อมคัดเลือกเพื่อตรวจตำหนิ ตรวจสารพิษ ตรวจความหวาน และตรวจกายภาพ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัด/ตกแต่ง โดยเมื่อรับซื้อผลผลิตการเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ โดยก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการผลิตในขั้นต่อไป ผลผลิตของเกษตรกรเหล่านี้จะต้องผ่านการล้าง และคัดเลือกผลที่มีตำหนิ หรือไม่ได้คุณภาพออก โดยการคัดทิ้งหรือตกแต่งตามสภาพของผลิตผลที่รับซื้อมา ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการผลิต และการบรรจุภัณฑ์ต่อไป

จวบจนวันนี้ โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 3 (เต่างอย) เป็นโรงงานหลักที่เป็นกำลังสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า“ดอยคำ” โดยมีสายการผลิตสำคัญ ได้แก่ สายการผลิตมะเขือเทศเข้มข้น ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง และข้าวกล้องบรรจุถุง อย่างไรก็ตาม น้ำมะเขือเทศดอยคำ ถือเป็นผลิตภัณฑ์แห่งความภาคภูมิใจ และทำให้ดอยคำเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำมะเขือเทศ

สำรวจ ‘เส้นทางสายมะเขือเทศ’

ก้าวต่อไปของดอยคำ

พิพัฒพงศ์ ทิ้งท้ายว่า อีกหนึ่งวิสัยทัศน์สำคัญที่ดอยคำตั้งเป้าส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว คือ ส่งเสริมให้เกษตรกรดำเนินการเพาะปลูกตามแนวทางเกษตรประณีต ซึ่งเป็นการทำเกษตรกรรมที่ก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดบนพื้นที่ที่น้อยสุด กระตุ้นให้เหล่าเกษตรกรคืนพื้นที่ที่เหลือจากการเพาะปลูกกลับคืนสู่ธรรมชาติ แนวทางนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างรายได้ให้เกิดความกินดีอยู่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อเกษตรกรในระยะสั้นและยาวเท่านั้น แต่ยังเป็นการคืนพื้นป่ากลับสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำและรักษาสมดุลธรรมชาติต่อไป

นอกจากนี้ ดอยคำยังสานต่อโครงการยุวเกษตร เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนและเด็กนักเรียนโดยรอบโรงงานหลวงฯ ที่มีความสนใจด้านเกษตรกรรมได้เรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้การปลูกมะเขือเทศของดอยคำไปยังคนในชุมชน นำไปสู่การเป็นต้นแบบให้กับเหล่าเยาวชนในพื้นที่บ้านเกิดต่อไปได้อย่างเป็นรูปธรรม จักรพงศ์ กงแก่นทา ประธานกลุ่มยุวเกษตรกร โรงเรียนเต่างอยพัฒนศึกษา ในฐานะตัวแทนกลุ่มยุวเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศปี 2560 เผยว่า เสน่ห์ของอาชีพเกษตร คือ ทำให้เราได้เป็นเจ้านายตัวเอง สามารถทำงานเลี้ยงชีพแบบเรียบง่าย “ผมคิดมาตลอดว่า ขนาดที่บ้านเราทำเกษตรแบบไม่สุดทางยังจุนเจือครอบครัวและส่งผมเรียนได้ ถ้าเราทำให้ดีกว่านี้จะได้ผลดีขนาดไหน ผมอยากนำความรู้แบบคนรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนาการทำเกษตร เพื่อเพิ่มผลผลิต หรืออาจจะยกระดับไปสู่การพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรก็ได้”

ขณะที่ อารยา วิดีสา นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จ.สกลนคร อีกหนึ่งตัวแทนจากกลุ่มยุวเกษตร กล่าวว่า นอกจากจะภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเผยแพร่ความรู้ไปยังกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่แล้ว เธอยังมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะนำความรู้ที่มีมาต่อยอดการทำเกษตร “แม่หนูก็เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าไม่มีพระองค์ท่าน หมู่บ้านเราวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร หนูรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ได้ปลูก และกินผลมะเขือเทศที่ปลูกเอง หนูตั้งใจว่า เรียนจบจะกลับมาเป็นเกษตรกร นำความรู้ที่มีมาต่อยอดเพิ่มผลผลิต ที่สำคัญการเป็นยุวเกษตรยังฝึกให้หนูมีความเป็นผู้นำ ได้ฝึกการทำงานเป็นทีมอีกด้วย” อารยา ทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์–พลังงานกดดัน S&P 500