คาราวานน่าน - ลาว สุขบนทางฝุ่น - ลุ้นบนทางโค้ง
เรื่องและภาพ...ร้อยตะวันพันดาว
เรื่องและภาพ...ร้อยตะวันพันดาว
รถคันเท่ซิ่งด้วยความเร็วกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่เมืองน่าน...แป๊บเดียว (จริงๆ ) จากเช้าตรู่ล่วงเข้าสู่ยามบ่ายเราก็มาถึงเมืองน่านที่มีวัดภูมินทร์งามล้ำอยู่กลางเมือง น่านยังคงน่ารักเหมือนเคย ถ่อมตน เงียบสงบในท่วงทำนองที่ทำให้ทุกชีวิตเดินช้าลง
มองคู่พญานาคหน้าประตูวัดภูมินทร์ที่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้ฉันต้องหวนกลับมาน่านอีกครั้งในเวลาห่างกันเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ว่ากันว่าใครได้ลอดท้องพญานาคแห่งวัดภูมินทร์จะต้องกลับมาเมืองน่านอีก... “น่าน” ยังไง ได้กลับมาอีกรอบสมปรารถนา
แต่การมาเยือนน่านคราวนี้พวกเรามาเป็นคาราวาน จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมมือกับหอการค้าจังหวัดน่าน สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวน่าน โดยเป็นคาราวานที่ตั้งต้นจากเมืองน่านเข้าสู่ประเทศลาว เพื่อตอกย้ำว่าน่านสามารถเป็นประตูสู่อินโดจีนเพื่อไปท่องเที่ยวเมืองต่างๆ ในลาวได้
เที่ยวน่านให้หนำใจ แล้วค่อยข้ามไปเที่ยวลาว...ไอเดียที่ไม่ได้ฝันเฟื่องครั้งนี้กลายเป็นจริงบนเส้นทางคลุกฝุ่น ได้ลุ้นบนทางโค้งอีกนับร้อย...ที่เริ่มต้น ณ เมืองน่าน
...1...
ผ่านด่านชายแดนห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่านเข้าสู่เมืองน้ำเงิน สปป.ลาว โดยสะดวก รถแต่ละคันต่างก็พยายามทำเวลาของตัวเองเต็มที่ แล้วก็มาจอดออรอกันอยู่ที่กลางเมืองหงสาเพื่อให้ผู้โดยสารจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อนเดินทางไกล แม้หงสาเป็นเมืองบนทางผ่าน แต่เราก็ผ่านไปอย่างไม่ละเลยในรายละเอียด ที่นี่สวยด้วยทุ่งข้าว มีเสน่ห์จากรอยยิ้ม งานเด่นๆ ของเมืองหงสาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนมากมายคืองานช้างที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงนั้นเมืองเล็กๆ นี้แน่นเอี้ยดไปถนัดตา แม้ช้างที่เมืองหงสาไม่มากมายเท่าช้างสุรินทร์ แต่ก็เป็นงานแบบชาวบ้านของลาวที่คนไทยให้ความสนใจ
จากเมืองหงสาคราวนี้เราจะใช้เส้นทางที่สั้นที่สุดมุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร ข้ามลำห้วยถึง 9 ห้วย เชื่อหรือไม่...ใช้เวลาขับรถยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง เพราะต้องผจญภัยไปบนถนนแคบ โค้งและชัน ไต่ไปตามสันเขาสูงลิ่ว มองเห็นวิวสวยเบื้องล่าง จนรถบางคันต้องหยุดพักชั่วคราวเพราะใช้สมรรถนะเกินพิกัด แม้หนทางยากลำบากแต่พวกเรากลับหัวเราะร่วนไปกับความสนุกสนานบนทางฝุ่นของคาราวานคราวนี้ที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดทาง
จากเช้าจรดเย็นก็ถึงบ้านจอมเพ็ด ขึ้นเรือข้ามฟากทั้งรถและคนจากท่าเรือเมืองเชียงแมน ฟากกระโน้นคือใจกลางเมืองหลวงพระบางที่มองเห็นพระธาตุพูสีมาแต่ไกล น้ำโขงแห่งเมืองหลวงสวยซึ้งเมื่อแดดสีทองทาบทา รถแต่ละคันทยอยข้ามฟากจนกระทั่งตะวันลับฟ้า ฉันใช้เวลาช่วงนี้ดื่มด่ำลำโขงในวินาทีที่แสงเรืองรองสุดท้ายเหนือทิวเขาก่อนลับหายไปสู่ราตรีที่ดำมืด
ตื่นเช้าละลายเวลาไปกับกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียว เดินชมตลาดเช้า ชมสถานที่สำคัญของหลวงพระบาง เช่น วัดเชียงทอง พระราชวังเก่าเจ้ามหาชีวิตซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน (ที่ฉันขอละโปรแกรมนี้ไว้ ไปนั่งจิบกาแฟในร้านเก๋กับเพื่อนแทน) ก่อนขึ้นรถเคลื่อนคาราวานกันบนเส้นทางหมายเลข 13 เพื่อไปอิ่มมื้อกลางวันกันที่เมืองพูคูนที่เป็นสามแยกให้เลือกเอาว่าจะไปโพนสะหวันหรือวังเวียง แต่เพราะเราเก็บวังเวียงเป็นโปรแกรมวันท้ายๆ เลยต้องเลี้ยวซ้ายไปโพนสะหวัน ซึ่งจากพูคูนเราต้องมุ่งหน้าสู่บ้านน้ำจั้ด เข้าเมืองแปก และสิ้นสุดที่โพนสะหวันบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7
ถนนจากพูคูนสู่แขวงเชียงขวางที่มีเมืองเอกชื่อว่าโพนสะหวัน แม้เป็นเส้นทางสะดวกที่สุด ถนนลาดยางตลอดสาย แต่พวกเราต้องฝ่าฟันเป็นพันโค้ง โค้งลาวนั้นสาหัสกว่าโค้งไทยนัก เป็นทางแคบที่ทำให้เราลุ้นกันตลอดทาง เพราะ “งอเป็นตาย่าน” หรือโค้งอันตรายในภาษาลาวมีมากมายเกินนับ สะบักสะบอมไปกับทางโค้งกันจนอ่วม พอพ้นเขตเทือกเขาก็เข้าสู่เขตแขวงเชียงขวาง ต้องแวะจอดถ่ายรูปคนลาวเกี่ยวข้าวกันเป็นที่ระลึก ภาพนี้ถ้าเป็นเมืองไทยล่ะวิ่งผ่าน แต่พอเป็นแดนลาวล่ะก็...จอดรถแวะถ่ายรูปตลอด ให้มันได้อย่างนี้สิ พี่ไทยเอ๋ย
ภูมิทัศน์ของเชียงขวางในยามแสงอาทิตย์เหลือน้อยเต็มทนยังทำให้เราตื่นตาได้กับภูเขาหญ้าเตียนโล่งไกลสุดตา สลับกับนาข้าวขั้นบันได งามตาด้วยป่าสนรูปทรงหยึกหยัก แลนด์สเคปเช่นนี้เองที่หลายตายกย่องให้เชียงขวางสวยงามปาน “นิวซีแลนด์แดนลาว” เลยทีเดียว
กว่าจะถึงโพนสะหวันก็ล่วงสู่เวลาค่ำ เช็กอินเข้าสู่ที่พัก เก็บแรงไว้ไปตะลอนกลางทุ่ง...พรุ่งนี้เราจะผจญภัยในเชียงขวางกันทั้งวัน
...2...
เช้านี้ที่โพนสะหวัน อากาศหนาวเย็น หมอกลอยตัวลงต่ำห่มคลุมทั้งเมืองกลายเป็นสีขาวโพลนไปชั่วครู่ ที่โพนสะหวันมีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง บอกไปใครๆ ก็รู้จัก นั่นคือทุ่งไหหิน ซึ่งเราจะได้ไปเยี่ยมชมทุ่งไหหิน 1 , 2 และทุ่งไหหินแห่งที่ 3 แต่ละแห่งนั้นแตกต่างกันในโลเคชั่น หากสิ่งที่เหมือนกันคือปริศนาแห่งทุ่งไหหินว่า ใครเป็นคนสร้าง สร้างเพื่ออะไร
ที่ทุ่งไหหินแห่งที่ 1 ซึ่งมีลักษณะเป็นบริเวณกว้าง ไหหินแกรนิตโบราณกระจัดกระจายบนทุ่ง มันก็แปลกนะที่จู่ๆ ก็ปรากฏไหหินเหล่านี้ผุดอยู่กลางทุ่ง แล้วแต่ละไหก็ไม่ใช่เล็กๆ บางไหใส่คนลงไปได้ทั้งตัว คราวนี้เราได้ไกด์กิตติมศักดิ์ พี่ศรันย์ บุญประเสิรฐ นักเขียนสารคดีชื่อดัง มาอธิบายให้ฟังว่า มีหลายตำนานสำหรับไหหินเหล่านี้ แต่ตำนานที่ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับมีอยู่สองเรื่องด้วยกัน เรื่องหนึ่งบอกว่าไหเหล่านี้เป็นไหลเหล้าของขุนเจือง ที่มีอำนาจในยุคนั้น ทว่าอีกสายหนึ่งก็เป็นเรื่องที่บรรดานักวิชาการสันนิษฐานว่า ไหเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความตายในสมัยโบราณ อาจเป็นที่เก็บศพ และบางไหยังมีการแกะสลักเป็นรูปหน้าคนไว้ด้วยหากสังเกตกันดีๆ
ส่วนทุ่งไหหินแห่งที่สองและสามนั้น แห่งที่สองตั้งอยู่บนเนินเขา และแห่งที่สามตั้งอยู่กลางทุ่งนาที่เราต้องใช้เวลาเดินฝ่านาข้าวสวยๆ ไปสู่ทุ่งไหหิน ฉันว่าทั้งสองและสามไม่อลังการเท่าแห่งแรกที่กินพื้นที่กว้าง ปริมาณไหก็มากมายจนทำให้สถานที่นั้นดูอลังการ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลงเหลือในทุ่งไหหินและทางลาวก็กำลังเก็บกู้อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็คือ “ซากระเบิด” ซึ่งทุกที่จะมีป้ายประกาศบอกให้นักท่องเที่ยวอุ่นใจได้ว่าที่แห่งนี้ได้มีการเก็บกู้ลูกระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยเวลาเดินชมจะได้ไม่เสียวเท้า เหตุที่มีลูกระเบิดมากมายขนาดนั้นก็ต้องย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของเชียงขวางที่เคยเป็นสนามรบพุ่งกันระหว่างนายพลวังเปาและขบวนการประเทศลาวที่มีเวียดนามและจีนหนุนหลัง ต่างก็ผลัดกันแพ้ชนะบนทุ่งไหหิน พอขบวนการประเทศลาวยึดเชียงขวางและทุ่งไหหินได้ เชื่อหรือไม่ว่าก็มีเครื่องบินจากอเมริกามากมายไปทิ้งระเบิดที่ทุ่งไหหินและเชียงขวาง
ปริมาณของระเบิดนั้นว่ากันว่ามหาศาลมากกว่าที่ใช้ทั้งหมดสงครามโลกครั้งที่สองเสียอีก! แม่เจ้า
เราเห็นภาพชัดๆ นี้ในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เมืองคูน หน้าร้านจัดเป็นสวนเล็กๆ มีประติมากรรมจากลูกระเบิดวางประดับไว้เพียบ มิน่าเล่า ลูกระเบิดเลยกลายเป็นลูกเล่นที่คนลาวนำมาประดับบ้านในปัจจุบัน เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
มาถึงเมืองคูนกันแล้ว เราก็ต้องเที่ยวเล่นในเมืองคูนกันหน่อย เมืองนี้เป็นเมืองหลวงเก่าของเชียงขวางก่อนจะย้ายมาเป็นโพนสะหวัน อยู่ห่างจากโพนสะหวันราวๆ 30 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ ที่ดูคลาสสิกจากซากปรักหักพังของวัดเก่าแก่กระจายทั่วเมือง ที่นี่เราได้ไปเที่ยวพระธาตุฝุ่น พระธาตุเก่าแก่ที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนเต็มภายนอก ภายในองค์พระธาตุเป็นโพรงเดินทะลุถึงกันได้ ต่อกันด้วยวัดเพียวัด วัดนี้เป็นวัดเก่ามากๆ บรรยากาศของวัดทำให้หวนนึกถึงวัดเก่าในอยุธยาบ้านเรา ตรงกลางพระอุโบสถที่หักพังเหลือแต่เสา มีพระพุทธรูปเก่าแก่ปางสมาธิประดิษฐานอยู่ เที่ยวเล่นพอหอมปากหอมคอในเมืองคูนก็กลับสู่เมืองโพนสะหวัน
พรุ่งนี้ต้องเดินทางกันอีกยาวไกล...ไปให้ถึง “วังเวียง”
...3...
ลาโพนสะหวันกันแต่เช้าตรู่ แต่ก่อนถึงเวลาเดินทาง ฉันกับสหายขอแว้บไปซดกาแฟกลางตลาดเช้าโพนสะหวันกันสักจิบสองจิบ กินบรรยากาศเมืองเขาเสียหน่อย เปรมกาแฟแล้วก็สาวเท้าฝ่าไอหมอกกลับสู่โรงแรม เมื่อรถพร้อมคนพร้อม การเดินทางก็เริ่มต้นอีกครั้ง
ฝ่าถนนพันโค้งอีกเช่นเคย คราวนี้เราไม่รีบเร่ง สะดุดตาตรงไหนแวะจอดรถถ่ายรูปกันตรงนั้น เลยได้เก็บภาพเด็กลาวกลางถนนมาฝากเป็นของขวัญ จนเที่ยงวันก็ย่างถึงสามแยกพูคูณ รับประทานมื้อกลางวันกันที่ร้านเดิม ร้านนี้วิวเริ่ดที่สุด ก่อนเดินทางสู่เมืองวังเวียง เมืองปลายทางของวันนี้
วังเวียง...รู้จักกันมานาน แต่ก็ “ผ่านตลอด” คราวนี้ล่ะจะได้สัมผัสวังเวียงตัวเป็นๆ กะเขาเสียที
ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเกือบสิบปี วันที่ฉันแบ็กแพ็กกับเพื่อนมาเที่ยวหลวงพระบาง แล้วขากลับเรานั่งรถโดยสารจากหลวงพระบางล่องกลับลงมาสู่เวียงจันทน์ ซึ่งต้องผ่านวังเวียงบนทางสายนั้น แม้ตัวเองจะทุลักทุเลกับการนั่ง “ตั่งเสริม” ที่เป็นเก้าอี้พลาสติกกลมๆ ปะตรงกลางรถ แต่วินาทีที่รถข้ามสะพานข้ามน้ำซอง เหลียวขวาเห็นภูเขารูปทรงเหมือนใบเรือ ด้านหลังมีทิวเขาสลับซับซ้อนเป็นเงารางๆ ส่วนเบื้องหน้าก็มีลำน้ำสะท้อนแดดยามบ่ายเป็นประกายระยิบระยับ...ฉันสะกิดเพื่อนแทบไม่ทัน ที่นั่น “ใช่เลย” เราต้องกลับมาให้ได้
แล้วเวลาผ่านไปเกือบสิบปีกับการผ่านวังเวียงตลอด วันนี้ความฝันก็เป็นจริงเสียที
แต่พอสัมผัสวังเวียงจริงๆ ฉันรู้ตัวเองทันทีว่า “ฝันสลาย”
การเติบโตที่ดูไร้ทิศทางของวังเวียงกำลังเป็นอาการน่าเป็นห่วง โรงแรมรีสอร์ทผุดขึ้นราวดอกเห็ด แต่ละแห่งต่างสร้างกันตามใจตนจนไม่นึกถึงสภาพภูมิทัศน์ พูดง่ายๆ ว่าไม่กลมกลืนกับสถานที่เลยแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยเสียด้วยสิ
อีกด้านหนึ่งวังเวียงก็กลายเป็นสวรรค์ของวัยรุ่นฝรั่งที่พากันเข้ามาเสพความสุขกันเต็มที่ กลิ่นเบียร์คลุ้งไปทั่วคุ้งน้ำ เสียงกรีดร้องกรี๊ดกร๊าด นี่ยังไม่นับว่าลึกๆ จะมีอะไรที่ “ผิดกฎหมาย” มากกว่านั้นหรือเปล่า
ทว่าก็ยังรู้สึกดีอยู่ลึกๆ ที่ได้ยินว่าทางการลาวก็ควบคุมอีกฟากของน้ำซองให้เป็นที่ทางของคนลาว ห้ามธุรกิจท่องเที่ยวกลืนกินเข้ามาบนดินแดนฝั่งนี้เด็ดขาด เป็นการสงวนธรรมชาติให้สวยงามอยู่คู่กับวังเวียง ส่วนด้านที่เติบโตนั้นก็ปล่อยให้มันโตแบบหลุดโลกไปเลย
วังเวียงเลยมีมุมสวยๆ ให้คนรักสงบอย่างเราได้เสพ ได้รื่นรมย์ แม้บางครั้งจะรู้สึกเคืองกับบางมุมที่ได้เห็นอยู่บ้าง
คืนค่ำในวังเวียงอันเป็นคืนสุดท้ายของคาราวานผ่านไปด้วยเสียงดนตรี เราปิดคาราวานกันที่เวียงจันทน์ เที่ยวชมบางสถานที่ในเวียงจันทน์ก่อนซีเกมส์มาเยือน (ซึ่งตอนนี้ปิดฉากซีเกมส์ไปแล้ว) ก่อนแวะช็อปปิ้งกันที่ชายแดนลาว – ไทย ข้ามสะพานมิตรภาพมุ่งหน้าสู่หนองคาย
แล้วบางส่วนก็ได้โบยบินกลับมาสู่กรุงเทพฯ ในคืนวันเดียวกันนั้น
ปิดฉากคาราวานแบบฉบับโหด มัน และฮาบนระยทางแสนยาวไกล
พี่ชายคนหนึ่งส่งเสียงแซวมาตามสายว่าเขียนต้นฉบับตอนนี้ ไม่ลืมไปหมดแล้วหรือไง...ข้อมูลน่ะอาจลืมเลือนไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่หวนกลับมาดูรูปภาพที่บันทึกไว้ ความรู้สึกระหว่างมิตรภาพ เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และอะไรอีกมากมายนับไม่ถ้วน มันประดังกันเข้ามาจนทำให้ฉันอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึง...แม้กระทั่งตอนที่เขียนเรื่องอยู่เช่นเวลานี้@@@
**การเดินทางท่องเที่ยวจากน่านสู่ประเทศลาว สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองตลาดภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร.02-250-5500 ต่อ 1316


