เที่ยวสุพรรณบุรี นวัตวิถีบ้านพุน้ำร้อน ชุมชนป่าสะแก ถิ่นกำเนิดขุนโจรเสือดำ
เรื่อง ทีมงานโลก 360 องศา facebook: โลก 360 องศา,youtube: โลก 360 องศา
เรื่อง ทีมงานโลก 360 องศา facebook: โลก 360 องศา,youtube: โลก 360 องศา
จ.สุพรรณบุรี มีคำขวัญว่า เมืองขุนแผน แดนยุทธหัตถี วรรณคดีขึ้นชื่อ เลื่องลือพระเครื่อง รุ่งเรืองเกษตรกรรม สูงล้ำประวัติศาสตร์ แหล่งปราชญ์ศิลปิน และภาษาถิ่นชวนฟัง จังหวัดนี้มีของดีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด มีความหลากหลาย แล้วก็มีอีกหลายมนต์เสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราไปยังชุมชนต่างๆ เราจะค้นพบกับเสน่ห์ที่แปลกใหม่ของจังหวัดนี้
ด้วยความที่สุพรรณบุรีอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มาก ดังนั้น การเดินทางไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับก็จึงเป็นเรื่องที่สะดวกสบาย จะมาเดินเที่ยวตลาดเก่าก็สนุกสนานเพลิดเพลินดี หรือจะมาทำบุญไหว้พระ ที่จังหวัดนี้ก็มีวัดอยู่มากมาย
แม้ว่าทุกวันนี้มีคนมาเที่ยว มาทำบุญไหว้พระไม่ขาดสาย แต่เราอยากให้การมาเที่ยวของพวกเขามีความหลากหลายมากขึ้น และอยากให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง ดังนั้น โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน จึงมีเป้าหมายให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนอย่างแท้จริง โดยการสร้างงาน สร้างอาชีพในชุมชน ให้ทุกๆ ชุมชนลุกขึ้นมาสร้างความเข้มแข็ง สร้างเสน่ห์จากการท่องเที่ยว เกิดการกระจายรายได้ ผู้คนจะได้ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากินที่อื่น ถ้ามองที่ผลประโยชน์โดยตรง ก็คือรายได้จากการขายสินค้า แต่ผลประโยชน์ทางอ้อมที่มาคู่กัน คือ จะเกิดความรัก ความสามัคคี และมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมพื้นถิ่นของตน ทั้งยังสร้างจิตสำนึกในการรักและหวงแหนทรัพยากรในชุมชนอีกด้วย
ชุมชนพุน้ำร้อน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ได้รับการจัดอันดับให้เป็นชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี อันดับหนึ่งของ จ.สุพรรณบุรี เพราะว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีวัฒนธรรมซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ แล้วก็มีธรรมชาติที่สวยงาม
พระอาจารย์เสน่ห์ หรือพระครูวิสิฐสุวรรณคุณ เจ้าอาวาสวัดพุน้ำร้อน พระผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของคนในชุมชนบ้านพุน้ำร้อน ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า มีการพบเจอโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ทั้งที่นี่และหมู่บ้านใกล้เคียง จึงรวบรวมนำมาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์บางส่วน และอาศัยกรมศิลปากรที่สุพรรณบุรีเข้ามาศึกษาข้อมูล และช่วยเก็บข้อมูลให้ด้วย
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ชุมชนนี้น่าจะมีมาตั้งแต่ยุคหินกะเทาะ ยุคหินขัด ประมาณ 3,000-4,000 ปี เรียกว่ายุคของช่วงหินใหม่ แล้วก็เชื่อมต่อมายุคโลหะ ยุคหินสำริด และก็ยุคทวารวดีจนมาถึงยุคอยุธยา
ผู้ใหญ่ชุม นันทา ได้พาเราไปดูของจริงที่พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดพุน้ำร้อน พร้อมกับให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ในพื้นที่ของพุน้ำร้อนและชุมชนใกล้เคียง เวลาทำไร่ไถนา ก็จะเจอข้าวของโบราณแบบนี้เป็นประจำ ซึ่งคนที่เจอส่วนใหญ่ก็จะไม่เก็บไว้เป็นสมบัติของตัวเอง แต่จะนำมาถวายให้หลวงพ่อ พอมีข้าวของเยอะขึ้น หลวงพ่อจึงนำมาจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์นี้ เพื่อให้ความรู้กับทุกคน
ถ้าคนชอบศึกษาของเก่า ได้มาที่นี่ก็จะชมเพลินเลยทีเดียว
คุณวันเพ็ญ กาฬภักดี หรือพี่เพ็ญ เจ้าบ้านใจดีอีกหนึ่งคน ที่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรา ได้เล่าถึงเรื่องอาหารการกินพื้นบ้าน ที่นี่ว่าดูเผินๆ เหมือนอาหารภาคกลางทั่วไป แต่แตกต่างในวัตถุดิบ เน้นพืชผักในท้องถิ่น เมนูเด็ดคือ แจ่วเอาะไก่บ้าน จิ้มกับผักหนาม
นอกจากเรื่องอาหารแล้ว พี่เพ็ญในฐานะประธานกลุ่มทอผ้าบ้านพุน้ำร้อนก็ได้เล่าเรื่องผ้าทอให้เราฟังว่า ผ้าทอของที่นี่จะเป็นผ้าซิ่นตีนจก ที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ ต่างจากตีนจกของอีสาน เป็นลายที่จดจำมาจากปู่ย่า ตายายมีหลายลาย แต่ที่ได้รางวัล คือ ลาย “แมงกะบี้” ลาย “ขอเกาะดอก” ราคาขาย 3-4 หมื่นบาท แต่ละผืนใช้เวลาในการทอประมาณ 3-4 เดือน
ผู้ใหญ่ชุมได้นำเราออกสำรวจธรรมชาติ บ้านพุน้ำร้อน ด้วยการนำชมเขาเรือ โดยที่เขาเรือนี้เป็นป่าธรรมชาติ ชาวบ้านร่วมกันทำเป็นป่าชุมชน มีเรือหิน ซึ่งเป็นจุดชมวิว จึงทำให้เรียกที่นี่ว่า เขาเรือ
นอกจากนั้น ที่นี่ยังมี “อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง” หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ปางอุ๋งสุพรรณ” ซึ่งได้รับการดูแลจากชุมชน มีการจัดตั้งกรรมการขึ้นมาดูแล ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และไม่มีถนนลาดยาง เพราะเป็นความต้องการของชุมชน ที่ไม่อยากให้ความเจริญมาทำให้พื้นที่เสื่อมเร็วเกินไป
สำหรับนักท่องเที่ยว ช่วงที่เหมาะที่สุดที่จะไปเที่ยวชุมชนบ้านพุน้ำร้อน ก็คือช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ถ้าอยากดูวิถีชีวิต ก็มาได้ทุกวัน ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ยิ่งน่ามามากๆ เพราะเขามีผัก ผลไม้ พื้นบ้าน อาหารการกินอร่อยๆ ไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นขนมตาล ปลาส้ม ขนมบ้าบิ่น กระยาสารท ข้าวโพดต้ม ปลาทับทิม เรียกว่ามีทั้งคาว ทั้งหวาน รอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านอยู่แล้ว
การปรับให้ที่นี่กลายเป็นชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ช่วยดึงคนให้มาเที่ยวมากขึ้น เมื่อมีคนมาเที่ยวมากขึ้น ก็จะมีคนแวะซื้อของกินของใช้มากขึ้น ยิ่งถ้าชุมชนเข้มแข็ง ร่วมไม้ร่วมมือกัน ก็สร้างสรรค์กิจกรรมและสินค้าใหม่ได้อีกมากมาย ซึ่งนั่นจะเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่เน้นการมีส่วนร่วม ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
ชุมชนป่าสะแก อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่นี่คือบ้านเกิดของสายัณห์ สัญญา และที่นี่คือถิ่นของเสือดำ ขุนโจรที่มีชื่อเสียงของ จ.สุพรรณบุรี นอกจากนั้น นี่คือหนึ่งในชุมชน OTOP นวัตวิถี ของ จ.สุพรรณบุรี
ชุมชนป่าสะแกไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังมาก่อน แต่อาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของคนในชุมชน ที่พยายามดึงเอาเสน่ห์ของชุมชนออกมาสร้างเป็นกิจกรรมท่องเที่ยว จนกลายเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างที่เราเห็นอยู่ เช่น การแสดงเสือดำออกปล้น เป็นต้น
ตำนานเสือดำ เป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใหม่ ให้กับกิจกรรมท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะสร้างเป็นการแสดงได้แล้ว ยังผนวกเข้ากับศิลปะการฟ้อนรำที่งดงามของชุมชนได้อีกด้วย ดังเช่น “รำฤกษ์ดาวโจร” ที่งดงามอ่อนช้อยแบบนี้ หาชมที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่นี่ที่เดียว
เมื่อมีกิจกรรมที่น่าสนใจ คนก็อยากมาเห็น อยากมาเที่ยวดู มาซื้อข้าวของ ชาวบ้านก็สามารถเอาข้าวของมาขายได้ นักท่องเที่ยวก็สุขใจที่ได้ซื้อ ได้กินของอร่อย แม่ค้าก็สุขใจที่ได้ขาย ได้แถม บางคนก็สุขใจที่ได้ทำ ทำขนม ทอดไก่ และบางคนก็ภูมิใจที่ได้อวดโชว์ของดีชุมชน ให้คนทั่วไปได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นโชว์การถักแห โชว์การทำไม้กวาด การทอผ้าซิ่นงามๆ เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาว่ามีรายได้ไหลเข้าชุมชนนี้เป็นเงินกี่บาท แต่ที่เห็นชัดๆ คือ เราเห็นรอยยิ้มและความสุขกระจายไปทั่วทั้งชุมชน
นอกจากความคึกคักมีชีวิตชีวาของตลาดชุมชนแล้ว อีกมุมหนึ่งก็แอบมีบรรยากาศสบายๆ ภายใต้ผืนนาเขียวขจี ทั้งการขี่จักรยานในทุ่งนา หรือการเดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่ สะพานแห่งนี้ ไม่มีค่าผ่านประตู ไม่มีการบังคับซื้อของ และที่สำคัญ จะนั่งนานเท่าไรก็ได้ ตราบที่หัวใจของคุณยังอยากอยู่ที่ชุมชนป่าสะแก
สุพรรณบุรีอยู่ไม่ไกล เดินทางไปเช้าเย็นกลับก็ได้ หรือจะค้างคืนเพื่อนอนดูดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าก็ได้เช่นกัน หากมีโอกาสอย่าลืมมุ่งหน้าสู่ชุมชนบ้านพุน้ำร้อน หรือจะเป็นชุมชนป่าสะแกก็ได้
ติดตามเรื่องราวเหล่านี้ได้ในรายการโลก 360 องศา ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 HD ทุกเช้าวันอาทิตย์ เวลา 08.00-08.30 น.